h1.post-title{ font-size:20px;}

วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริจาค(2)


การยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ (2)
ขอ นำประเด็นหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับเงินได้ ทรัพย์สิน หรือสินค้าที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่น ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไป โดยมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น เป็นตัวแทนรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าที่บริจาค เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2554 นำมาปุจฉา - วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อน ดังต่อไปนี้

ปุจฉา หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป ที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร
วิสัชนา การบริจาคดังกล่าวต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้


1. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่เป็นตัวแทนรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้า ต้องดำเนินการเป็นสื่อกลางอย่างเปิดเผยเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ อย่างแท้จริง


2. บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่ดำเนินการในลักษณะเป็น สื่อกลางในการเป็นตัวแทนรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าที่มิใช่ส่วนราชการ องค์การของรัฐบาล หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตาม มาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ดังต่อไปนี้ แจ้งชื่อต่ออธิบดีกรมสรรพากร (ผ่านผู้อำนวยการสำนักมาตรฐานการกำกับและตรวจสอบภาษี หรือสรรพากรพื้นที่) แสดงว่าเป็นผู้ทำหน้าที่ดำเนินการในลักษณะเป็นสื่อกลางในการเป็นตัวแทนรับ เงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าดังกล่าว โดยให้แจ้งตามแบบคำขอแจ้งเป็นตัวแทนรับบริจาคที่มีข้อความอย่างน้อยตามที่ แนบท้ายประกาศอธิบดีกรมสรรพากรทุกครั้งก่อนรับบริจาค หรือภายหลังรับบริจาคโดยต้องแจ้งในระหว่างการเกิดเหตุภัยธรรมชาตินั้น หรือแจ้งภายใน 1 เดือนนับถัดจากวันที่เหตุภัยธรรมชาตินั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ เว้นแต่อธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดเป็นอย่างอื่น
 
(1) กรณีดำเนินการในลักษณะเป็นสื่อกลางแต่เพียงผู้เดียว
 
(2) กรณีร่วมกันเป็นตัวแทนรับเงินทรัพย์สิน หรือสินค้าที่บริจาค และผู้ที่ทำหน้าที่ออกหลักฐานการรับบริจาค หรือผู้ที่ดำเนินการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อรับบริจาค 


3. หลักฐานการบริจาคที่ผู้บริจาคจะนำมาใช้เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับการ บริจาคเงินหรือทรัพย์สิน และเพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริจาคสินค้า แล้วแต่กรณี ได้แก่
 
(1) หลักฐานการรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้า ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ซึ่งเป็นตัวแทนในการรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าที่บริจาค ได้จัดทำขึ้นเพื่อแสดงการรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าที่ระบุข้อความที่มีสาระสำคัญว่า เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติดังกล่าว โดยระบุช่วงเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2554 เป็นต้นไปด้วย หรือข้อความอื่นที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน หรือ
 
(2) หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารในช่วงระยะเวลาที่เกิดภัยธรรมชาติดังกล่าว ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นตัวแทน
 
ใน การรับบริจาคดังกล่าวได้เปิดบัญชีธนาคารขึ้นเพื่อรับเงินบริจาค โดยผู้บริจาคต้องมีหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารดังกล่าวที่พิสูจน์ได้ ว่าตนเองเป็นผู้บริจาค
 
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือ นิติบุคคลอื่นที่เป็นตัวแทนรับบริจาคเป็นผู้บริจาคด้วย ให้แสดงหลักฐานตาม (1) และ (2) เป็นหลักฐานการบริจาคเพื่อใช้ยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม แล้วแต่กรณี โดยจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีการบริจาคจริง
 
กรณีบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่บริจาคทรัพย์สินหรือสินค้า ต้องมีหลักฐานการได้มาซึ่งทรัพย์สินหรือสินค้าที่บริจาค ที่ระบุจำนวนและมูลค่าของทรัพย์สินหรือสินค้าที่บริจาคนั้น เช่น ใบกำกับภาษี ใบรับเงินที่ได้ซื้อทรัพย์สินหรือสินค้ามาบริจาค เป็นต้น หรือหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นผู้ผลิตสินค้าหรือเป็นผู้ขายสินค้าที่ บริจาคที่แสดงต้นทุนสินค้านั้นได้ ซึ่งจะต้องเป็นทรัพย์สินหรือสินค้ารายการเดียวกับที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่เป็นตัวแทนในการรับทรัพย์สินหรือสินค้าออก เป็นหลักฐานในการรับบริจาคทรัพย์สินหรือสินค้านั้นให้แก่ผู้ บริจาค                            


4. ภายหลังจากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติดังกล่าว หากยังมีเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าเหลืออยู่ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นตัวแทนรับเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้า ที่ได้แจ้งชื่อต่ออธิบดีกรมสรรพากรตาม 2. ต้องส่งมอบเงิน ทรัพย์สิน หรือสินค้าดังกล่าวให้แก่ส่วนราชการ หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับถัดจากวันยื่นแบบแจ้งคำขอเป็นตัวแทนรับบริจาค เว้นแต่อธิบดีกรมสรรพากรจะกำหนดเป็นอย่างอื่น

โดย : สุเทพ พงษ์พิทักษ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น