หากผู้ประกอบการได้รับ "บิลเงินสด" มาประกอบเป็นเอกสารประกอบการลงบัญชี
โดยตามประมวลรัษฎากรจะถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิตามมาตรา
65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดไว้ในมาตรา 65 ตรี ( 18 ) ดังนี้
( 18 ) รายจ่ายซึ่งผู้จ่ายพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ
ดัง
นั้น "บิลเงินสด" ที่กิจการได้รับมาจากการจ่ายค่าใช้จ่ายออกไปนั้น
ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้รับเงิน
หรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการมีตัวตนจริง
ทางบัญชีจะบันทึกบัญชีเป็นค่าใช้จ่าย
แต่ทางภาษีอากรจะต้องนำรายจ่ายนั้นไปปรับปรุงกำไรสุทธิ ( บวกกลับ )
แต่หากกิจการสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้รับมีตัวตนจริงก็จะถือเป็นรายจ่ายได้
ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร
กรณีศึกษา
กรณีการพิจารณารายจ่ายซึ่งพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ
ในกรณีที่บริษัทมีรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อกิจการของบริษัทและได้รับหลักฐานดังต่อไปนี้ คือ
1. ใบรับเงิน มีชื่อ ที่อยู่ และเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับเงิน หรือ
2. บิลเงินสด มีชื่อ ที่อยู่ผู้รับเงิน แต่ไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี หรือ
3. บิลเงินสด มีการประทับตรายางที่อยู่ผู้ขาย หรือมีการเขียนชื่อ ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ของผู้ขาย
รายจ่ายดังกล่าวจะต้องห้ามในการลงรายจ่ายตามมาตรา 65 ตรี ( 18 ) แห่งประมวลรัษฎากร หรือไม่
คำวินิจฉัย
ตาม
ข้อเท็จจริงข้างต้นรายจ่ายดังกล่าวมีหลักฐานระบุชื่อที่อยู่ขอ่งผู้รับเงิน
ซึ่งสามารถพิสูจน์ถึงตัวผู้รับได้
รายจ่ายดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี ( 18 )
แห่งประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด
( หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0802/10093 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2537 )
สรุป
เมื่อกิจการจ่ายค่าใช้จ่ายออกไปนั้น
ผู้ขายหรือผู้รับเงินได้ออกหลักฐานเป็น "บิลเงินสด"
จะถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
ต่อเมื่อจะต้องพิสูจน์ได้ว่าผู้รับเงิน
หรือผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการมีตัวตนจริง รับเงินจากกิจการจริง หาก
"บิลเงินสด" ที่กิจการได้รับได้มีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้
1. ชื่อ-ที่อยู่ของผู้รับเงิน หรือผู้ขาย หรือผู้ให้บริการ
2. วัน เดือน ปีที่ได้รับเงิน
3. ชื่อ-ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้า หรือผู้จ่ายเงิน
4. รายละเอียดของรายการสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้น
5. ลายเซ็นของผู้รับเงิน