tag:blogger.com,1999:blog-60626111998618360782024-03-13T23:19:27.303-07:00สำนักงานบัญชี เอสซีพี รับทำบัญชี,ตรวจสอบบัญชี,จดทะเบียนบริษัท,จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท เอสซีพีการบัญชีกรุ๊ป จำกัด
รับทำบัญชี,ตรวจสอบบัญชี,จดทะเบียนบริษัท,จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน,และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจ โทรติดต่อ 083-4923837 คุณสมนึกnukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.comBlogger175125tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-51871166856124135562024-01-17T10:00:00.000-08:002024-01-17T21:39:16.539-08:00บริการรับทำบัญชี<a href="http://www.xn--12cmjei3eci3b1hh9a8beie0ddb8s0j.com/2011/11/blog-post_22.html">สำนักงานบัญชี</a>ในฐานะผู้ให้บริการ<span style="font-weight: bold;"><a href="http://www.xn--12cmjei3eci3b1hh9a8beie0ddb8s0j.com/p/blog-page_6440.html">รับทำบัญชี</a></span>ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้<span style="font-weight: bold;">ทำบัญชี</span>อย่างถูกต้องตามกฎหมายกับกระทรวงพาณิชย์ บริหารและดำเนินงานโดยทีมงานผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้สอบบัญชีภาษีอากรปริญญาโทและทีมงานที่มีคุณภาพ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดทำบัญชีที่ถูกต้อง ครบถ้วนและประโยชน์ของการนำข้อมูลทางบัญชีมาใช้เพื่อการตัดสินใจ หากท่านมีธุรกิจที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ หรือมีธุรกิจอยู่แล้ว สำนักงานเอสซีพีการบัญชี ขอเสนอรับใช้ท่านโดยทีมงานที่มีคุณภาพ บริการดี ตรวจสอบได้ ราคายุติธรรม และรักษาคำพูดที่มีให้กับลูกค้า ท่านไม่ต้องกังวลใจเรื่องบัญชีและภาษีอีกต่อไป พร้อมที่จะขจัดปัญหาต่าง ๆ ของท่านให้หมดไป โดยภาระหน้าที่ด้านบัญชีและภาษีทุกอย่างเป็นของ สำนักงานเอสซีพีการบัญชี<br />
<br />
สำนักงานเอสซีพีการบัญชี ให้บริการ<span style="font-weight: bold;">รับทำบัญชี</span>และภาษีครบวงจร ให้คำปรึกษาและแนะนำทางด้าน<span style="font-weight: bold;">รับทำบัญชี</span>และภาษีอากร ตรวจสอบบัญชี จดทะเบียนธุรกิจทุกชนิด โดยทีมงานที่มีความรู้ มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในงานที่บริการแต่ละด้านโดยตรงประกอบกับวิธีการทำงานที่ ผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย และขั้นตอนการทำงานที่ได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อผลงานที่ดีที่สุด สำหรับลูกค้าnukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-51256813226482004372024-01-17T07:25:00.000-08:002024-01-17T21:38:43.377-08:00จดทะเบียนบริษัท,จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน<pre><b><u><span lang="TH" style="font-size: 13.5pt;">จดทะเบียนบริษัท</span></u></b><b><u><span style="font-size: 13.5pt;">,<span lang="TH">จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน</span></span></u></b><b><span lang="TH" style="font-size: 13.5pt;"> </span></b></pre>
<pre></pre>
***<span lang="TH">จดทะเบียนบริษัท 8</span>,500 <span lang="TH">บาท(รวมค่าธรรมเนียม</span><span lang="TH">) </span><br />
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: .0001pt; margin: 0cm;">
<span style="font-size: 12pt;"> <span style="color: #cc0000;"> <span lang="TH">ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท+จดบัตรภาษี+ภาษีมูลค่าเพิ่ม</span></span>+<span lang="TH" style="color: #cc0000;">ทำบัญชีเดือนแรก</span><br />***<span lang="TH">จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน 3</span>,500 <span lang="TH">บาท(รวมค่าธรรมเนียม</span><span lang="TH">)</span></span><span style="font-size: 12pt;"><br /> <span lang="TH" style="color: #cc0000;">ฟรีค่าธรรมเนียมทุกประเภท+จดบัตรภาษี+ภาษีมูลค่าเพิ่ม</span>+<span lang="TH" style="color: #cc0000;">ทำบัญชีเดือนแรก</span><span lang="TH"> </span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span style="font-size: 12pt;">***<span lang="TH">จดทะเบียนพาณิชย์ ร้านค้า คณะบุคคล </span>1,500 <span lang="TH">บาท</span>(<span lang="TH">ราคาจดทะเบียนรวมค่าธรรมเนียมทั้งหมดแล้ว)</span><br />***<span lang="TH">จดเลิกกิจการ เริ่มต้น </span>11,000 <span lang="TH">บาท</span> <span lang="TH">รวมปิดงบเลิกประกาศลงหนังสือพิมพ์และค่าธรรมเนียมทั้งหมดแล้ว</span><br />***<span lang="TH">จดเปลี่ยนแปลงที่อยู่ กรรมการเข้าออก เปลี่ยนอำนาจกรรมการ เปลี่ยนวัตถุประสงค์เปลี่ยนชื่อ เพิ่มทุน ค่าบริการ เริ่มต้น </span>1,500 <span lang="TH">บาท</span> (<span lang="TH">ไม่รวมค่าธรรมเนียมและประกาศลงหนังสือพิมพ์ตามกฎของกรม)</span><br />***<span lang="TH">จดเปลี่ยนแปลงภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร (ภ.พ.</span>09)1,500 <span lang="TH">บาท</span><br />***<span lang="TH">จดบัตรผู้เสียภาษี </span>500 <span lang="TH">บาทจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม </span>1,500 <span lang="TH">บาท</span><br />***<span lang="TH">ขึ้นทะเบียนประกันสังคม </span>1,500 <span lang="TH">บาท</span> </span></div>
<pre><span style="font-size: 12pt;"><span style="font-size: large;"><b><span lang="TH">บริการงานจดทะเบียน</span></b></span></span><span style="font-size: large;"><b>บริษัท <span lang="TH">จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด</span></b></span><span lang="TH"></span><span style="font-size: 12pt;"></span></pre>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span style="font-size: 12pt;">***<span lang="TH">จดทะเบียนบริษัท จดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด</span><br /><br />***<span lang="TH">จดทะเบียนพาณิชย์ ร้านค้า คณะบุคคล</span><br /><br />***<span lang="TH">จดเลิกกิจการ รวมปิดงบเลิก ประกาศลงหนังสือพิมพ์</span><br /><br />***<span lang="TH">จดเปลี่ยนแปลงที่อยู่ กรรมการเข้าออก เปลี่ยนอำนาจกรรมการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ เปลี่ยนชื่อเพิ่มทุน</span><br /><br />***<span lang="TH">จดเปลี่ยนแปลงภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร (ภ.พ.</span>09)<br /><br /><b><span lang="TH">บริการงานด้านรับทำบัญชีและตรวจสอบบัญชี</span></b><br /><span lang="TH">สำนักงานในฐานะผู้ให้บริการรับทำบัญชีที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีอย่างถูกต้องตามกฎหมายกับกระทรวงพาณิชย์ บริหารและดำเนินงานโดยทีมงานผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ผู้สอบบัญชีภาษีอากรปริญญาโทและทีมงานที่มีคุณภาพได้เล็งเห็นความสำคัญของการรับทำบัญชีที่ถูกต้อง ครบถ้วนและประโยชน์ของการนำข้อมูลทางบัญชีมาใช้เพื่อการตัดสินใจขอเสนอบริการต่างๆที่ครบวงจรเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของผู้ประกอบการ</span><br /><br />***<span lang="TH">จัดทำเอกสารรับทำบัญชีละเอียดทุกใบ ด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปบนวินโดว์ที่กรมสรรพากรรับรองล่าสุดและลงรายการทางบัญชี จัดทำสมุดบัญชี รายงานทางบัญชีต่างๆ ให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด</span><br /><br />***<span lang="TH">จัดทำสมุดบัญชี </span>5 <span lang="TH">เล่ม และปิดงบการเงินตามที่สรรพากรกำหนดให้นิติบุคคลมีหน้าที่จัดทำ</span><br /><br />***<span lang="TH">ตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ราคายุติธรรมลูกค้าสำนักงานปิดงบให้ฟรี คิดเฉพาะค่าสอบบัญชี</span><br /><br />***<span lang="TH">ควบคุมดูแลระบบบัญชี </span>Update <span lang="TH">เดือนต่อเดือนเพื่อวางแผนการชำระภาษีให้มีประสิทธิภาพถูกต้องที่สุดและประหยัดที่สุด</span><br /><br />***<span lang="TH">ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ทำบัญชีตามที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด(กฎหมายเริ่มใช้ตั้งแต่ปี </span>45)<br /><br />***<span lang="TH">คำนวณและยื่นภาษีรายเดือน ภงด. </span>1,3,53 <span lang="TH">ภ.พ.</span>30 <span lang="TH">และประกันสังคม</span><br /><br />***<span lang="TH">คำนวณและยื่นภาษี ภงด.</span>90, <span lang="TH">ภงด.</span>91, <span lang="TH">ภงด.</span>94 <span lang="TH">ของพนักงานและเจ้าของกิจการ</span><br /><br />***<span lang="TH">จัดทำรายงานบัญชีเพื่อการบัญชีเพื่อการบริหารเพื่อประโยชน์ในการตัดสินในของผู้ประกอบการ</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span style="font-size: 12pt;">***<span lang="TH">คำนวณและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล ภงด.50 และภงด.51</span><br /><br />***<span lang="TH">ให้คำแนะนำวิธีการบัญชีเพื่อผลด้านภาษีอากรที่ถูกต้องและประหยัด</span><br /><br />***<span lang="TH">ให้ คำแนะนำระบบบัญชี ผังทางเดินเอกสาร ให้เหมาะสมกับกิจการและบุคลากรที่มีอยู่ในองค์กรรวมถึงเอกสารเบื้องต้นที่จำเป็นในการบันทึกบัญชี</span><br /><br />*** <span lang="TH">สำนักงานมีการควบคุมระบบเอกสารและสถานที่สำหรับเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเพียงพอ ลูกค้าสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลาเพื่อความมั่นใจในบริการว่าเอกสารเมื่อจัดส่งมาที่สำนักงานจะมีการจัดเก็บรักษาเป็นอย่างดีไม่สูญหาย ทั้งหมดนี้บริการคุณด้วยทีมงานทั้งหมดที่มี ราคาเริ่มต้น 2,0</span>00 <span lang="TH">บาท รวมยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มให้รับส่งเอกสารถึงบริษัท รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องบัญชีและภาษีทั้งในเวลาทำการและนอกเวลาทำการด้วยความเต็มใจ(จันทร์-อาทิตย์ ตลอดเวลา </span>24 <span lang="TH">ชั่วโมง)หรือคุณมีเรื่องด่วนหลังเวลาทำการโทรสอบถามได้ตลอดเวลา</span><br /><br />*** <span lang="TH">เสียภาษีอย่างไรให้ถูก (เงิน) และ ถูก (ต้อง) ***</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span lang="TH" style="font-size: 12pt;">สำนักงานเอสซีพีการบัญชี</span><span style="font-size: 12pt;"> <span lang="TH">รับทำบัญชี,ตรวจสอบบัญชี,จดทะเบียนบริษัท</span></span><span style="font-size: 12pt;"><span lang="TH">,จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span lang="TH" style="font-size: 12pt;">โทร</span><span style="font-size: 12pt;">083-4923837 <span lang="TH">คุณสมนึก</span></span></div>
<div class="MsoNormal" style="line-height: normal; margin-bottom: 12.0pt; margin-left: 0cm; margin-right: 0cm; margin-top: 0cm; margin: 0cm 0cm 12pt;">
<span style="font-size: 12pt;">Email : scpaccounting@hotmail.com</span></div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-41196416719353007732020-02-03T00:16:00.000-08:002020-02-03T00:16:19.066-08:00รถยนต์กระบะ 4 ประตู จากรถยนต์นั่ง สู่รถยนต์กระบะบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม ที่เครดิตภาษีซื้อได้<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative; text-align: center;">
<span data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px; white-space: normal;">รถยนต์กระบะ 4 ประตู จากรถยนต์นั่ง สู่รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม</span></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"><br style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;" /></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="csrca-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;">รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศับอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งใช้บังคับแทนที่พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ได้ออกกฎกระทรวงกําหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 เปลี่ยนแปลงรายละเอียดในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตตอนที่ 6 สินค้ารถยนต์ สำหรับรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด จากพิกัด 06.01 ว่าด้วยรถยนต์นั่ง เป็นพิกัด 06.03 ว่าด้วยรถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม เป็นผลทำให้รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด พ้นจากการเป็นรถยนต์นั่ง ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัตอัตราภาษีสรรพสามิต ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป </span></div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="eht6l-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="eht6l-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="eht6l-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;">http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/095/111.PDF</span></div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="7et8r-0-0" style="box-sizing: border-box; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="7et8r-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; direction: ltr; font-family: inherit; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; position: relative; white-space: pre-wrap;">
<span data-offset-key="7et8r-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"><a name='more'></a><br style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;" /></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="7et8r-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="7et8r-0-0" style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; margin: 0px; padding: 0px;"><span style="box-sizing: border-box; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> ตามข้อ 2 ของประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะของรถยนต์กระบะสี่ประตู (Double Cab) ลงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 อธิบดีกรมสรรพสามิตกำหนดคุณลักษณะของรถยนต์กระบะสี่ประตู (Double Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ตามความใน (3) ของประเภทที่ 06.03 รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีนำหนักรถรวมนำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ไว้ ดังต่อไปนี้
"ข้อ 2 รถยนต์กระบะสี่ประตู (Double Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใน (ก) - (ง) และที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใน (จ) ของ (3) ของประเภทที่ 06.03 ในบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2562 ต้องมีคุณลักษณะครบถ้วนทุกข้อ และเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี
2.1 ตัวถังวางบนโครงสร้าง (Frame Construction) แบบแชสซีส์ของรถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถไม่น้อยกว่า 1,200 กิโลกรัม มีน้ำหนักบรรทุกไม่น้อยกว่า 1,000 กิโลกรัม และมีน้ำหนักรถรวมนำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม ซึ่งเป็นแบบเดียวกับรุ่นที่มีการผลิตในประเทศ มีการจัดจำหน่ายทั่วไปหรือส่งออกเป็นปกติวิสัย และจดทะเบียนเป็นรถยนต์กระบะบรรทุกตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์
2.2 ระบบกันสะเทือนหลังแบบแหนบ
2.3 ระยะด้านนอกตัวรถยนต์จากแนวขอบด้านหน้าส่วนที่กว้างที่สุดของบานประตูจนถึงด้านหลังสุดของห้องคนขับในแนวระนาบเดียวกัน มีความยาวเกินกว่า 180 เซนติเมตร
2.4 ส่วนท้ายเป็นกระบะเปิดโล่งจนถึงท้ายรถ โดยไม่มีหลังคา และมีความยาวของกระบะไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร"
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/154/T_0031.PD</span></span></span></div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="ek132-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ek132-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="ek132-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"><br style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;" /></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ek132-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="ek132-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;">การเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตดังกล่าว มีผลกระทบต่อภาษีอากรตามประมวลรัษากรดังนี้ </span></div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="34fff-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="34fff-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="34fff-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> 1. ภาษีซื้อสำหรับรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ตามข้อ 2 ของประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะของรถยนต์กระบะสี่ประตู (Double Cab) รวมทั้งภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับรถยนต์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ไม่ถือเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) </span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="34fff-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="34fff-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> นั่นย่อมหมายความว่า </span>ภาษีซื้อสำหรับรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ที่ได้มาก่อนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 ยังคงเป็นภาษีซื้อต้องห้ามที่นับรวมเป็นต้นทุนรถยนต์นั่งต่อไป แต่ภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์ดังกล่าว ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา ย่อมสามารถใช้เป็นภาษีซื้อที่นำไปเดรดิตหักภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ได้ แต่ทั้งนี้ หากรถกระบะ 4 ประตูที่ได้มาก่อนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 และได้จดทะเบียนเป็นรถยนต์นั่งตามกฎหมายเดิม หากประสงค์จะใช้ภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายดังกล่าวผู้ประกอบการจดทะเบียน ต้องเปลี่ยนทะเบียนเป็นรถยนต์บรรทุกเสียก่อน จึงจะสามารถใช้ภาษีซื้อได้</div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="ej4ue-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ej4ue-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="ej4ue-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> 2. ต้นทุนรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิต ในการคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้มาโดยการซื้อหรือเช่าซื้อ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ไม่จำกัดมูลค่าต้นทุนที่จำนวนไม่เกิน 1,000,000 บาท อีกต่อไป </span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="ej4ue-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="ej4ue-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> การเปลี่ยนแปลงกฎหมายดังกล่าว ย่อมไม่กระทบต่อมูลค่า</span>ต้นทุนรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ในการคำนวณหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้มาโดยการซื้อหรือเช่าซื้อ ก่อนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 ยังคงจำกัดมูลค่าต้นทุนที่จำนวนไม่เกิน 1,000,000 บาท อีกต่อไป </div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="9n6rm-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="9n6rm-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="9n6rm-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> 3. มูลค่าต้นทุนรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ที่ได้มาตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ในส่วนที่เกินกว่า 1,000,000 บาท ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (20) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 (1) แห่งพระราขกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540 </span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="9n6rm-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="9n6rm-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> สำหรับ</span>มูลค่าต้นทุนรถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด<span style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> ที่ได้มาก่อนวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 ในส่วนที่เกินกว่า 1,000,000 บาท ยังคงเข้าลักษณะเป็นรายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (20) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 (1) แห่งพระราขกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> อยู่ต่อไป </span></div>
</div>
<div class="" data-block="true" data-editor="7qs9i" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; color: #1c1e21; font-family: Helvetica, Arial, sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> 4. ค่าเช่ารถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด ที่เช่าตั้งแต่วันที 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นไป ไม่จำกัดจำนวนที่ 36,000 บาทต่อคันต่อเดือน หรือ 1,200 บาทต่อคันต่อวัน ตามมาตรา 65 ตรี (20) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับมาตรา 4 (2) แห่งพระราขกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 315) พ.ศ. 2540 </span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"><br style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;" /></span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<span data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;"> ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต สำหรับ</span>รถยนต์กระบะ 4 ประตู (Double Cab) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนดตามข้อ 2 ของประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะของรถยนต์กระบะสี่ประตู (Double Cab) ลงวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2562 <span style="box-sizing: border-box; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px;">จากพิกัดอัตรา 06.01 "รถยนต์นั่ง" เป็นพิกัด 06.03 "รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกไม่เกิน 4,000 กิโลกรัม" ย่อมส่งผลกระทบต่อการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งส่วนของค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา และมูลค่าต้นทุนรถยนต์ในส่วนที่เกินกว่า 1,000,000 บาท และการนำภาษีซื้อเกี่ยวกับรถยนต์ดังกล่าวมาเครดิตหักออกจากภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม นับแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา </span></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
<br /></div>
<div class="_1mf _1mj" data-offset-key="5rka-0-0" style="box-sizing: border-box; direction: ltr; font-family: inherit; margin: 0px; padding: 0px; position: relative;">
อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์</div>
</div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-56090727460999006792019-12-25T22:19:00.000-08:002019-12-25T22:19:00.358-08:00เรื่องกฎกระทรวงฉบับที่ 355 เรื่องกฎกระทรวงฉบับที่ 355 ที่เพิ่งออกมา ประกาศในราชกิจ วันที่ 23 ธ.ค. 2562 มีผลบังคับใช้ 24 ธค 2562 คือ เรื่องที่ให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร กรณี (1)มีการฝากเงินรวม 3,000 ครั้ง และ (2)ฝากเงิน 400 ครั้งมียอดเงินรวม 2 ล้านบาท นั้น มีผลให้ส่งข้อมูลโดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. ถึง 31 ธ.ค. 2562 (/) ก่อนหน้านี้ที่เคยออกมาเป็น พรบ คือกฏหมาย แต่มีผลบังคับใช้ตามกฏกระทรวง 355 ที่เพิ่งประกาศราชกิจจา 23 ธ.ค. 2562 จึงมีผลบังคับ 24 ธ.ค. 2562 ฉะนั้น ธนาคารจะเริ่มนับรายการฝากเงิน ตั้งแต่ 24 ธ.ค. - 31 ธ.ค. 2562 ถ้าเข้าเกณฑ์ก็จะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร<br />
การนับเงินเข้า รวมหมดทุกวิธี ฝากเงินสด, โอนเข้ามา, ฝากเช็ค, ดอกเบี้ยเข้า, เปิดบัญชีครั้งแรก แม้กระทั่งฝากเช็คแล้วเช็คเด้งก็นับครั้ง นับจำนวนเงินด้วย<br />
และไม่ใช่เฉพาะบัญชีธนาคารของบุคคลธรรมดา บัญชีของนิติบุคคลก็ให้ธนาคารส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรด้วย ถ้าเข้าหลักเกณฑ์<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhigwOTRvZ6rzw1V9bnIjT2p02Xnwd-7tuff8b1u4H8R14QL6fG8siCQBa_K3YK8uOlbh-ktVQrKtt0IiUotoybzHZkZi3BKdUR_ukxD4BCrXoEUlWx7bIiHq-b5GbhNBi_Cxl0JfaTjAR1/s1600/1289148.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1522" data-original-width="1076" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhigwOTRvZ6rzw1V9bnIjT2p02Xnwd-7tuff8b1u4H8R14QL6fG8siCQBa_K3YK8uOlbh-ktVQrKtt0IiUotoybzHZkZi3BKdUR_ukxD4BCrXoEUlWx7bIiHq-b5GbhNBi_Cxl0JfaTjAR1/s320/1289148.jpg" width="226" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgayD7cwVohO8jmwQWdrd5vfqUm8Rvxs0jS5PNF6csK0KwgctY0d0yT3eJm8FmAQr0Co6svnJi1TPt6nylLM54X8uWKla2yuPdFlDX1eyvmJTVoggFPqI0f40fKZcsRc9ifWiCZ3DTcPwkE/s1600/1289150.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" data-original-height="1522" data-original-width="1076" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgayD7cwVohO8jmwQWdrd5vfqUm8Rvxs0jS5PNF6csK0KwgctY0d0yT3eJm8FmAQr0Co6svnJi1TPt6nylLM54X8uWKla2yuPdFlDX1eyvmJTVoggFPqI0f40fKZcsRc9ifWiCZ3DTcPwkE/s320/1289150.jpg" width="226" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
</div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-19713910404178721142019-12-02T00:17:00.000-08:002019-12-02T00:17:52.369-08:00บุคคลธรรมดามีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และสามารถออกหนังสือรับรองได้ หรือไม่<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin: 0px; padding: 0px; text-align: center;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">บุคคลธรรมดามีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และสามารถออกหนังสือรับรองได้ หรือไม่ </span></div>
<span style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; line-height: 1.8; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">
บุคคลธรรมดาผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งพร้อมทั้งยื่นแบบแสดงรายการตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด และมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร และหรือหลักฐานการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ดังนี้
1. กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา </span><br />
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
</div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> บุคคลธรรมดามีหน้าที่หัก ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 (1)(2)(3)(5)(6) และมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 แล้วนำส่งตามมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร และสามารถออกหนังสือรับรองให้ผู้รับเงินได้ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากรได้ ดังนี้
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร
จากข้อความว่า "ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้..." นั้น คำว่า "บุคคล" ครอบคลุมทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น บุคคลธรรมดา คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ห้างหุ้นส่วนสามัญ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น รวมทั้งรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น จึงเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร
ในส่วนของผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินที่เป็นบุคคลธรรมดา มีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1)(2)(3)(5) และ (6) แห่งประมวลรัษฎากรดังนี้
(1) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร (มาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร)
(ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ที่มิใช่เงินได้พึงประเมินซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน น้น ให้คูณเงินได้พึงประเมินที่จ่ายด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย เพื่อให้ได้จำนวนเงินเสมือนหนึ่งว่าได้จ่ายทั้งปี แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่าย ได้ผลลัพธ์เป็นเงินเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
ถ้าการหารด้วยจำนวนคราวที่จะต้องจ่ายตามความในวรรคก่อนไม่ลงตัว เหลือเศษเท่าใดให้เพิ่มเงินเท่าจำนวนที่เหลือเศษนั้นรวมเข้ากับเงินภาษีที่จะต้องหักไว้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เพื่อให้ยอดเงินภาษีที่หักรวมทั้งปีเท่าจำนวนภาษีที่จะต้องเสียทั้งปี (ดู คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 96/2543 ประกอบ)</span><br />
<a name='more'></a><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ข) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ซึ่งได้คำนวณจ่ายจากระยะเวลาที่ทำงาน และได้จ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (5) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใดให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น (ดู ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 45) ประกอบ)
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ค) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้ครั้งเดียวเพราะเหตุออกจากงาน ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">การนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (1) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้จ่ายเงินได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 เฉพาะในเดือนที่มีจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องคำนวณหัก และนำส่ง ไม่ว่าผู้จ่ายเงินได้จะได้หักไว้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ตามาตรา 52 ประกอบมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">2) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร (มาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร)
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) แห่งประมวลรัษฎากร ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เว้นแต่
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ก) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) และ (4) นอกจากที่ระบุไว้ใน (ข)(ค)(ง) และ (จ) ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ข) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48 (3)(ก) และ(ค) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ค) ในกรณีเงินได้พึงประเมินที่ระบุในมาตรา 48 (3)(ข) ให้ถือว่าผู้ออกตั๋วเงิน ผู้ออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ หรือนิติบุคคลผู้โอนตั๋วเงินหรือตราสารดังกล่าว ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามส่วนนี้เป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน และให้เรียกเก็บภาษีเงินได้จากผู้มีเงินได้ ในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ และให้ถือว่าภาษีที่เรียกเก็บนั้นเป็นภาษีที่หักไว้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ง) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4) (ก) ที่มิได้ระบุใน (ข) และ (ค) แห่งมาตรานี้ ถ้าผู้จ่ายเงินได้มิใช่เป็นนิติบุคคล และจ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องหักภาษีตามมาตรานี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">จ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ข) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 10.0 ของเงินได้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ฉ) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (4)(ซ) และ (ฌ) ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">การนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (2) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้จ่ายเงินได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.2 เฉพาะในเดือนที่มีจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องคำนวณหัก และนำส่ง ไม่ว่าผู้จ่ายเงินได้จะได้หักไว้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ตามาตรา 52 ประกอบมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">3) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) และ (6) แห่งประมวลรัษฎากร ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งมิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ 15.0 ของเงินได้ (มาตรา 50 (3) แห่งประมวลรัษฎากร)
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">การนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 (3) แห่งประมวลรัษฎากร ให้ผู้จ่ายเงินได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.3 เฉพาะในเดือนที่มีจำนวนภาษีเงินได้ที่ต้องคำนวณหัก และนำส่ง ไม่ว่าผู้จ่ายเงินได้จะได้หักไว้ ณ ที่จ่ายหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้ ตามาตรา 52 ประกอบมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">4) ผู้จ่ายเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดา ไม่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ตามมาตรา 50 (4) แห่งประวลรัษฎากร เพราะในกรณ๊นี้กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่าย เฉพาะที่เป็นรัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นอื่น ซึ่งจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5)(6)(7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">5) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) เฉพาะที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์ ให้คำนวณหักดังต่อไปนี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ก) สำหรับอสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดกหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หา ให้คำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากรเป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ข) สำหรับอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยทางอื่นนอกจาก (ก) ให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แล้วคำนวณภาษีตามเกณฑ์ในมาตรา 48 (4)(ข) แห่งประมวลรัษฎากรเป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด ให้หักเป็นเงินภาษีไว้เท่านั้น
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">6) ในกรณีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่าตอบแทนให้ถือว่าผู้โอนเป็นผู้จ่ายเงินได้ โดยให้ผู้โอนหักภาษีตามเกณฑ์ใน (5) เว้นแต่กรณีการโอนให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม ให้ผู้โอนหักภาษีไว้ร้อยละ 5 ของเงินได้เฉพาะในส่วนที่เกินยี่สิบล้านบาท”
1.2 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินที่เป็นบุคคลธรรมดา มีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ดังนี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">1) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นรางวัลในการประกวด การแข่งขัน การชิงโชค หรือการอื่นใดอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">2) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะ ที่จ่ายให้แก่นักแสดงสาธารณะ
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ก) กรณีมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา
(ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 120/2545 ประกอบ)
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ข) กรณีนอกจาก (ก) หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">คำว่า “นักแสดงสาธารณะ” หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุและโทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพหรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">3) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นการจ่ายเงินได้เพื่อซื้อเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียม วัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาซึ่งมิใช่ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและมิได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ใช้สิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 311) พ.ศ. 2540 หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 1.0
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ สำหรับการจ่ายเงินได้เพื่อซื้อเพชร พลอย ทับทิม มรกต บุษราคัม โกเมน โอปอล นิล เพทาย ไพฑูรย์ หยก ไข่มุก และอัญมณีที่มีลักษณะทำนองเดียวกัน เฉพาะที่ยังมิได้เจียระไน แต่ไม่รวมถึงสิ่งทำเทียมวัตถุดังกล่าวหรือที่ทำขึ้นใหม่ ให้แก่ผู้จ่ายเงินได้ซึ่งเป็นผู้ซื้อสินค้า ไปเพื่อการบริโภค โดยไม่มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปขายต่อ ทั้งนี้ สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป
</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">2. กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล
........2.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 69 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">"มาตรา 69 ตรี ให้บุคคล ห้างหุ้นส่วน บริษัท สมาคม หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) เฉพาะที่จ่ายให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งขายอสังหาริมทรัพย์ คำนวณหักภาษีเงินได้ไว้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 1 แล้วนำส่งพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมในขณะที่มีการจดทะเบียน และให้นำความในมาตรา 52 วรรคสอง และวรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ภาษีที่หักไว้และนำส่งตามวรรคหนึ่ง ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ถูกหักภาษีตามรอบระยะเวลาบัญชีที่หักไว้นั้น"
2.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินที่เป็นบุคคลธรรมดา มีหน้าที่คำนวณหักภาษีเงินได้นิติบุคคลล ณ ที่จ่ายตามมาตรา 3 เตรส แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ท.ป. 4/2528 ดังนี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">1) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ที่เป็นค่าจ้างทำของให้แก่ผู้รับจ้างซึ่งเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย โดยมิได้มีสำนักงานสาขาตั้งอยู่เป็นการถาวรในประเทศไทยหักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0 (ดู คำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป.8/2528 ประกอบ)
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> (</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">2) สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร เฉพาะที่เป็นรางวัลในการประกวด การแข่งขัน การชิงโชค หรือการอื่นใดอันมีลักษณะทำนองเดียวกัน ที่จ่ายให้แก่ผู้รับซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0
2.3 ภาษีเงินได้นิติบุคคล ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนี้
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">"มาตรา 70 บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2)(3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้ สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น ทั้งนี้ ให้นำมาตรา 54 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
</span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในกรณีที่บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ ได้รับเงินได้พึงประเมินที่เป็นดอกเบี้ยจากรัฐบาล หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉพาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือ อุตสาหกรรม" </span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"><br style="box-sizing: border-box; margin: 0px; padding: 0px;" /></span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">3. ผู้จ่ายเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดามีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> 3.1 กรณีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา </span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> </span><span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;">ผู้จ่ายเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดามีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย มีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 62) </span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> 3.2 กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคล</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
<span style="box-sizing: border-box; font-family: "helvetica" , "arial" , sans-serif; font-size: 16px; margin: 0px; padding: 0px; white-space: pre-wrap;"> ผู้จ่ายเงินได้ที่เป็นบุคคลธรรมดาสามารถออกหนังสือรับรองให้ผู้รับเงินได้ที่เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แทนการออกใบเสร็จรับเงินค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 105 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร ได้</span></div>
<div style="background-color: white; box-sizing: border-box; color: #333333; font-family: Tahoma; font-size: 14px; line-height: 1.8 !important; margin-bottom: 10px; padding: 0px;">
อ.สุเทพ พงษ์พิทักษ์</div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-35262488326827693562017-01-15T02:37:00.001-08:002017-01-15T02:38:07.410-08:00 ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ <div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">เลขที่หนังสือ</b></div>
<table border="0" cellpadding="2" cellspacing="0" style="width: 98%px;"><tbody>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><br /></td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
: กค 0706/10491 </div>
</td></tr>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">วันที่</b></div>
</td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
: 17 ตุลาคม 2550 </div>
</td></tr>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">เรื่อง</b></div>
</td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
: ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการจ่ายเงินไปต่างประเทศ </div>
</td></tr>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">ข้อกฎหมาย</b></div>
</td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
:
มาตรา 77/2 มาตรา 85/6(2) มาตรา 41 มาตรา 80/1(2) มาตรา 70 มาตรา 80
มาตรา 40(8) มาตรา 40(2) และมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร </div>
</td></tr>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">ข้อหารือ</b></div>
</td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br /></div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
1. บริษัท ด.
ประกอบกิจการเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เมื่อลูกค้าของบริษัทฯ
ได้ว่าจ้างบริษัทฯ ทำกราฟฟิกดีไซน์ พัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์
ทำการตกลงเกี่ยวกับการบริการและขอบเขตการดำเนินงานตลอดจนราคาแล้ว บริษัทฯ
จะติดต่อผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่ง
หลังจากที่ผู้รับจ้างทำงานเสร็จและส่งมอบงานแล้ว บริษัทฯ
จะส่งมอบงานให้ลูกค้าและเรียกเก็บเงินต่อไปโดยผู้รับจ้างไม่มีลิขสิทธิ์ในงานที่ทำ
จึงขอทราบว่า</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
1.1
การจ่ายเงินค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศอินเดียนั้นจะต้องหักภาษี
ณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
1.2
กรณีบริษัทฯส่งงานดังกล่าวให้กับลูกค้าในต่างประเทศโดยลูกค้าจะได้รับลิขสิทธิ์เต็มตลอดจน
ซอร์สโคด (Source Code) ในโปรแกรมดังกล่าว ค่าบริการที่บริษัทฯ
ได้รับจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2. การชำระค่าโฆษณาและการรับชำระค่าโฆษณา กรณีลูกค้าอยู่ประเทศไอร์แลนด์</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2.1
ในทุก ๆ เดือน บริษัทฯ จะชำระค่าโฆษณาใน Search engine ให้กับ บริษัท G.
ในประเทศไอร์แลนด์ บริษัทฯ จะต้องหักภาษี ณ
ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2.2
บริษัทฯ ได้ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ ในการโฆษณา
จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
3.
บริษัทฯ ได้ซื้อ License Keys และ Support Contracts จากบริษัท ล.
โดยบริษัทฯ จะไม่ได้รับลิขสิทธิ์ใน โปรแกรมนี้
นอกจากการมีสิทธิในการขายให้กับลูกค้าเท่านั้น กรณีของSupport Contracts
นั้น ในปีแรกไม่มีค่าบริการ ในปีถัดไปหากลูกค้าไม่ซื้อ Support Contracts
ลูกค้าจะไม่ได้รับบริการใด ๆ เช่น ไม่มีสิทธิในการอัพเกรดโปรแกรม
แต่ลูกค้ายังคงใช้โปรแกรมเก่าที่มีอยู่ต่อไปได้ การจ่ายค่า License Keys
ให้กับบริษัท ล. จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
ส่วนค่าบริการ Support Contracts นั้น บริษัท ล. ตกลงให้บริษัทฯ หักภาษี ณ
ที่จ่ายจากใบแจ้งหนี้ก่อนที่บริษัทฯ จะชำระเงิน จึงขอทราบอัตราการหักภาษี ณ
ที่จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่มตลอดจนวิธีคำนวณภาษี</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
4.
บริษัทฯ เช่าเครื่องเครือข่ายเว็บ (Web Server) จากบริษัท ร.
ประเทศอเมริกาและในบางกรณีลูกค้าต้องการเอกสารที่ยืนยันการใช้เครือข่ายนี้
จึงจำเป็นต้องซื้อ SSL Certificates
ด้วยเพื่อนำมาจำหน่ายให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ที่ต้องการ (SSL Certificates
มีอายุ 1 ปี) จึงขอทราบว่า จะต้องหักภาษี ณ
ที่จ่ายและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อัตราใด</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
5.
บริษัทฯ ได้วางเงินล่วงหน้าไว้จำนวนหนึ่งให้แก่ T ประเทศแคนาดา
เพื่อชำระค่าโดเมน บริษัทฯ จะติดต่อขอซื้อไปยัง T โดย T
จะหักเงินที่บริษัทฯ ได้วางไว้ล่วงหน้านั้นตามจำนวนที่ลูกค้าซื้อ
(โดเมนจะต้องต่ออายุทุกปี) จึงขอทราบว่า อัตราภาษีหัก ณ
ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มในการซื้อโดเมน</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
6.
บริษัทฯ
ได้จ่ายเงินค่าบริการให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลในฮ่องกงสำหรับการจัดการวางแผนทางการตลาดจัดการในการขายสินค้า
หรือบริการที่บริษัทฯ ได้โฆษณาในเว็บไซต์ จึงขอทราบอัตราภาษีหัก
ณที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่ม</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
7.
บริษัทฯ
จ้างคนไทยและหรือคนต่างชาติทำงานโดยงานที่ทำและการจ่ายเงินจะมีลักษณะเป็นเรื่อง
ๆ ไป ประเภทของงานจะเปลี่ยนแปลงไปไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับงานในช่วงนั้น ๆ
ไม่มีกฎระเบียบเวลาทำงาน หรือรูปแบบในการทำงานและบริษัทฯ
จ่ายเงินให้แก่คนไทยและหรือคนต่างชาติเป็นค่านายหน้าจากการขาย
จึงขอทราบว่า จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราใด </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br />
<a name='more'></a></div>
</td>
</tr>
<tr style="font-size: 14px;"><td nowrap="nowrap" style="font-size: 14px;" valign="top" width="13%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<b style="font-size: 14px;">แนววินิจฉัย</b></div>
</td><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br /></div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
1. กรณีตาม 1. มีภาระภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้ </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
1.1
ลูกค้าของบริษัทฯ ได้ว่าจ้างให้บริษัทฯ ทำกราฟฟิกดีไซน์
หมายถึงการออกแบบรูปภาพด้วยการใช้โปรแกรมทางด้านกราฟฟิก
และพัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ หมายถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บริษัทฯ
จะติดต่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่งเมื่อทำงานเสร็จและส่งให้บริษัทฯ
ก็จะส่งงานให้กับลูกค้าโดยที่ผู้รับจ้างไม่มีสิทธิในงานที่ทำกรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการให้บริการรับจ้างทำของ
ถือเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรจึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
บริษัทฯ
ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้รับจ้างทำของมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/2 และมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
1.2
กรณีบริษัทฯ ว่าจ้างนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ทำกราฟฟิกดีไซน์
และพัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ การจ่ายค่าตอบแทนในการให้บริการดังกล่าว
เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจหากนิติบุคคลนั้นไม่มีสถานจัดการ สาขา
สำนักงานในประเทศไทยก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยจากค่าตอบแทนที่ได้รับ
</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
ทั้งนี้
ตามข้อ 7 วรรคหนึ่ง
แห่งอนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดียฯ
และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2505 บริษัทฯ
จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและนำส่งกรมสรรพากรแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่บริษัทฯ ว่าจ้างบุคคลธรรมดา
ค่าตอบแทนในการให้บริการดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน
เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย
ตามมาตรา 41 วรรคแรก แห่งประมวลรัษฎากร
เพราะสัญญารับทำงานให้ของบุคคลธรรมดาชาวต่างประเทศมิใช่สัญญา
จ้างแรงงานซึ่งมีความสัมพันธ์ระหว่างกันในฐานะนายจ้างและลูกจ้าง
แต่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า บุคคลธรรมดาชาวต่างประเทศ
ได้พำนักอยู่ในประเทศอินเดีย
มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินบุคคลธรรมดาชาวต่างประเทศ
จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสีย
ภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินดังกล่าวในประเทศไทยแต่อย่างใด ทั้งนี้
ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ
ที่จ่ายและไม่มีประเด็นพิจารณาว่า
เป็นผู้อยู่ในประเทศซึ่งลงนามอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้ำซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่แต่อย่างใด
</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
1.3
กรณีลูกค้าในต่างประเทศจ้างบริษัทฯ ให้ทำกราฟฟิกดีไซน์
และพัฒนาโปรแกรมซอฟท์แวร์ ซึ่งบริษัทฯ
ได้ติดต่อบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในประเทศอินเดียให้ดำเนินการอีกทอดหนึ่ง
เมื่อทำงานเสร็จและ ส่งให้บริษัทฯ
ก็จะส่งงานให้กับลูกค้าในต่างประเทศโดยลูกค้าจะได้รับลิขสิทธิ์เต็มตลอดจนซอร์สโคด
ในโปรแกรมดังกล่าว
เข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของให้กับผู้ประกอบการในต่างประเทศ โดยบริษัทฯ
กระทำกิจการอันเป็นสาระสำคัญของการรับจ้างทำของในประเทศไทย
และได้ส่งผลของการให้บริการรับจ้างทำของไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมด
หากการรับจ้างดังกล่าวมีหลักฐานเป็นหนังสือ บริษัทฯ
จะได้รับสิทธิในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ตามมาตรา 80/1(2)
แห่งประมวลรัษฎากรประกอบกับประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2. กรณีตาม 2. การชำระค่าโฆษณาและรับชำระค่าโฆษณา มีภาระภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้</div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2.1
กรณีตามข้อ 2.1 บริษัทฯ จ่ายค่าโฆษณาใน Search engine
ซึ่งเป็นเครื่องมือในการสืบค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตให้กับ G.
ในประเทศไอร์แลนด์ เป็นกรณีที่ G. ลงโฆษณาให้กับบริษัทฯ ใน Search engine
ซึ่งเป็นการให้บริการในต่างประเทศค่าตอบแทนกรณีการให้บริการดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัทฯไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70
แห่งประมวลรัษฎากร
แต่อย่างใดไม่ว่าผู้ให้บริการในต่างประเทศจะอยู่ในประเทศที่มีข้อตกลงว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยหรือไม่
และหากการลงโฆษณาดังกล่าวบริษัทฯ
ได้นำผลจากการโฆษณามาใช้ย่อมเข้าลักษณะเป็นการให้บริการที่ทำในต่างประเทศ
และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
จึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ
ซึ่งเป็นผู้จ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ให้บริการมีหน้าที่นำส่งเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ
7.0 ทั้งนี้ ตามมาตรา 77/2 และมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
2.2
กรณีตามข้อ 2.2 กรณีบริษัทฯ ให้ G. ใช้พื้นที่ Website บางส่วนของบริษัทฯ
เพื่อโฆษณาตามข้อเท็จจริงเข้าลักษณะเป็นการให้บริการอันถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา
40(8) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70
แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด และกรณีการใช้พื้นที่ Website
บางส่วนของบริษัทฯ เพื่อโฆษณา
ซึ่งลูกค้าในประเทศไทยอาจใช้บริการเปิดข้อมูลเว็บไซต์จากการโฆษณานั้นได้จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ
และได้ส่งผลของการให้บริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศทั้งหมดแต่ถือเป็นการให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร
ซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 80
แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 105)ฯ ลงวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
3.
กรณีตาม 3. บริษัทฯ จ่ายค่า License Keys
ซึ่งเป็นตัวเลขลิขสิทธิ์ของซอฟท์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ใช้สำหรับแพคเกจ
ซอฟท์แวร์ "Info At Hand" ให้กับบริษัท ล. จากประเทศแคนาดาโดยที่บริษัทฯ
จะไม่ได้รับลิขสิทธิ์ใน
โปรแกรมนี้นอกจากการมีสิทธิในการขายให้กับลูกค้าเท่านั้นเป็นการได้สิทธิในการใช้โปรแกรมจากบริษัท
ล. เพื่อนำมาหาประโยชน์กับลูกค้าของบริษัทฯ
เข้าลักษณะเป็นค่าสิทธิตามมาตรา 40(3) แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15
ของเงินได้ที่จ่ายให้แก่ บริษัท ล. ตาม มาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร
ประกอบกับข้อ 12 ของอนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศแคนาดาฯ
และการจ่ายค่าตอบแทนให้กับบริษัท ล.
เข้าลักษณะเป็นการจ่ายค่าบริการให้กับผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6(2)
แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
กรณีการให้บริการ
Support Contracts หมายถึงสัญญาการให้การสนับสนุนทางด้านเทคนิค เช่น
การอัพเกรดโปรแกรม
หากลูกค้าไม่ซื้อบริการดังกล่าวก็ยังสามารถใช้โปรแกรมเก่าต่อไปได้
การจ่ายค่าตอบแทนให้กับบริษัท ล.ในการให้บริการดังกล่าว
เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ หากบริษัท ล.ไม่มีสถานจัดการ สาขา
สำนักงานในประเทศไทย
จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยจากค่าตอบแทนที่ได้รับตาม
มาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร และข้อ 7
แห่งอนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศแคนาดาฯ
ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505
และกรณีการให้บริการดังกล่าว
เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรจึงอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา
77/2 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
ผู้จ่ายค่าตอบแทนมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา
83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
4.
กรณีตาม 4. บริษัทฯ เช่าเครื่องเครือข่ายเว็บ (Web Server)
ซึ่งใช้เก็บเว็บไซด์และซื้อ SSL Certificates
ซึ่งเป็นไฟล์พิเศษที่ติดตั้งไว้ในเครื่องเครือข่ายในการช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ว่ากำลังเชื่อมต่ออยู่กับ
เครื่องเครือข่ายที่ถูกต้อง จากบริษัท ร. ประเทศสหรัฐอเมริกา
อันมีลักษณะการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการ
ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และมีการลงทุนค่อนข้างสูง เมื่อบริษัทฯ
ชำระค่าตอบแทนดังกล่าวให้กับบริษัท ร.
จึงเข้าลักษณะเป็นการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8)
แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
ผู้จ่ายเงินได้ไม่มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70
แห่งประมวลรัษฎากร และการให้บริการดังกล่าวมี
ลักษณะเป็นการให้บริการซึ่งผู้ประกอบการได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรเมื่อบริษัทฯ
ชำระค่าบริการไปต่างประเทศ บริษัทฯ
มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0
ที่ผู้ประกอบการต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเสียตามมาตรา 83/6(2)
แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
5.
กรณีตาม 5. บริษัทฯ ซื้อโดเมน ซึ่งใช้ระบุเป็นชื่อของเว็บไซด์หนึ่งๆ
และไม่สามารถใช้ซ้ำกันได้ จาก T ประเทศแคนาดา
การให้บริการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการให้บริการซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และมีการลงทุนค่อนข้างสูง
เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อบริษัทฯ ชำระค่าตอบแทนให้กับ T
จึงไม่มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามมาตรา 70
แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด
และการให้บริการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการบริการซึ่งผู้ประกอบการได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
เมื่อบริษัทฯ ชำระค่าบริการไปต่างประเทศ บริษัทฯ มีหน้าที่นำส่งภาษี
มูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ที่ผู้ประกอบการต่างประเทศมีหน้าที่ต้องเสีย
ตามมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
6.
กรณีตาม 6. บริษัทฯ จ่ายเงินค่าจัดการวางแผนทางการตลาด
จัดการในการขายสินค้าหรือบริการที่โฆษณาในเว็บไซต์ ให้กับบุคคลธรรมดา
และนิติบุคคลในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ
หากการให้บริการดังกล่าวไม่มีการให้ข้อมูลใดๆ
ที่เป็นการให้เทคโนโลยีหรือข้อสนเทศเกี่ยวกับประสบการณ์ทางพาณิชยกรรมหรืออุตสาหกรรม
หรือทางวิทยาศาสตร์ เข้าลักษณะเป็นกำไรจากธุรกิจ ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ
ชำระค่าบริการให้กับนิติบุคคลในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ
ซึ่งไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทยจึงไม่มีหน้าที่หักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่าย
ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 7
แห่งความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยง
รัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และมาตรา 3
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505
แต่การชำระค่าบริการในกรณีดังกล่าวเป็นการจ่ายค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศ
และ ได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร บริษัทฯ
จึงมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 83/6(2)
แห่งประมวลรัษฎากร </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
สำหรับการชำระค่าบริการให้กับบุคคลธรรมดา
ค่าตอบแทนในการให้บริการดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย
ตามมาตรา 41 วรรคแรก
แห่งประมวลรัษฎากรแต่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า
บุคคลธรรมดาชาวต่างประเทศซึ่งพำนักอยู่ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงฯ
มิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินบุคคลธรรมดาชาวต่างประเทศดังกล่าว
จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินดังกล่าวในประเทศไทยแต่อย่างใด
ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินดังกล่าวจึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย </div>
<div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<br style="font-size: 14px;" />
7.
กรณีตาม 7. กรณีบริษัทฯ
จ้างคนไทยและหรือคนต่างชาติให้ทำงานโดยงานที่ทำและการจ่ายเงินจะมีลักษณะเป็นรายๆ
ไปรวมทั้งประเภทของงานจะเปลี่ยนแปลงไปไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับงานในช่วงนั้นๆ
ไม่มีกฎระเบียบ เวลาทำงานหรือรูปแบบในการทำงาน
และกรณีค่านายหน้าเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินจากการรับทำงานให้ตามมาตรา
40(2) แห่งประมวลรัษฎากร ผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษี ณ
ที่จ่ายตามมาตรา 50(1) แห่งประมวลรัษฎากร
และหากเป็นการจ่ายค่านายหน้าให้ชาวต่างชาติซึ่งเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศและมีอนุสัญญาหรือ
ความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทยแล้ว
ค่านายหน้าถือเป็นกำไรจากธุรกิจเมื่อไม่มีสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย
จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ในประเทศไทย ตามมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2505 บริษัทฯ
ผู้จ่ายเงินได้ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณที่จ่าย แต่อย่างใด </div>
</td></tr>
</tbody></table>
<br />
<table border="0" cellpadding="2" cellspacing="0" style="width: 98%px;"><tbody>
<tr style="font-size: 14px;"><td style="font-size: 14px;" valign="top" width="87%"><div style="font-size: 14px; margin: 0px;">
<span class="color000000b" style="font-size: 14px;">Navigator : </span><a href="http://www.rd.go.th/publish/284.0.html" style="font-size: 14px;">อ้างอิง</a> ><a href="http://www.rd.go.th/publish/12859.0.html" style="font-size: 14px;">ข้อหารือภาษีอากร</a> ><a href="http://www.rd.go.th/publish/24981.0.html" style="font-size: 14px;">2550</a> ><a href="http://www.rd.go.th/publish/34276.0.html" style="font-size: 14px;">ตุลาคม</a> ><a href="http://www.rd.go.th/publish/36190.0.html" style="font-size: 14px;">0706/10491</a> </div>
</td></tr>
</tbody></table>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-10889614007344190802016-01-20T23:01:00.005-08:002016-01-20T23:01:52.642-08:00พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรพ.ศ. 2558 <span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"K"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span>พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสน</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ุนการปฏิบัติเกี่ยวกับภาษีอ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>ากรตามประมวลรัษฎากรพ.ศ. 2558 <br /> <br /><span> (๑) ต้องเป็นบริษัทฯที่เสียภาษี</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>จากกำไรสุทธิ<br /> <br /><span> (๒) บริษัทฯจะต้องมีรายได้ไม่เก</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ิน 500 ล้านบาทในรอบระยะเวลาบัญชีท</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ี่ผ่านมาและมีมีกำหนดครบสิบ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>สองเดือนโดยวันสุดท้ายของรอ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>บระยะเวลาบัญชีที่เกิดขึ้นก</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>่อนหรือในวันที่ 31 ธันวาคม 2558<span class="text_exposed_show"><br /> <br /><span> (๓) ได้รับยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมินหรือสั่งให้เสียภาษี</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>และความผิดอาญาตามประมวลรัษ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ฎากร สำหรับรายได้หรือมูลค่าของฐ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>านภาษี รายรับหรือการกระทำตราสารก่</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>อนวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ไม่ใช้บังคับ กรณีถูกดำเนินก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559 ดังต่อไปนี้<br /> (๓.๑) ถูกตรวจสอบโดยมีหมายเรียก<br /><span> (๓.๒) ไม่อยู่ระหว่างการตรวจสอบขอ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>งเจ้าพนักงานประเมิน<br /><span> (๓.๓) เป็นผู้ออกใบกำกับภาษีปลอมห</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>รือเป็นผู้ใช้ใบกำกับภาษีปล</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>อมหรือกระทำการหลีกเลี่ยงกา</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>รเสียภาษีโดยแสดงรายจ่ายอัน</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>เป็นเท็จต่อกรมสรรพากร<br /><span> (๓.๔) ไม่อยู่ระหว่างดำเนินคดีในช</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ั้นพนักงานสอบสวน ชั้นพนักงานอัยการหรือชั้นศ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>าล <br /> </span></span></span><br />
<a name='more'></a><br /><span> (๔) การยกเว้นตามข้อ 3 จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์แ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>ละเงื่อนไข<br /><span> (๔.๑) ทำการจดแจ้งต่อกรมสรรพากรตา</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>มแบบแจ้งขอเป็นผู้ประกอบการ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>ตามพระราชกำหนดฯ ตั้งแต่ 15 มกราคม 2559 ถึง 15 มีนาคม 2559<br /><span> (๔.๒) ต้องยื่นแบบแสดงรายการพร้อม</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ชำระภาษีตามประมวลรัษฎากรภา</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ยในกำหนดเวลาสำหรับภาษีตั้ง</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>แต่ 1 มกราคม 2559<br /><span> (๔.๓) จัดทำบัญชีและงบการเงินให้ส</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>อดคล้องกับสภาพที่แท้จริงขอ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>งกิจการตั้งแต่ 1 มกราคม ๒๕๕๙<br /><span> (๔.๔) ไม่กระทำการใดที่เป็นการหลี</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>กเลี่ยงภาษีอากร<br /> <br /><span> (๕) อธิบดีกรมสรรพากรมีคำสั่งเพ</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ิกถอนการได้รับการยกเว้นตาม</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span><span>ข้อ 3 แล้ว ให้ถือว่าบริษัทฯ ไม่เคยได้รับยกเว้นการใดตาม</span><wbr></wbr><span class="word_break"></span>พระราชกำหนด<br />
<br />
<span class="fbPhotosPhotoCaption" data-ft="{"tn":"K"}" id="fbPhotoSnowliftCaption" tabindex="0"><span class="hasCaption"><span class="text_exposed_show">ที่มา facebook.com/taxationdotcom </span></span></span>nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-84578689487955702172015-09-24T01:50:00.003-07:002015-09-24T01:52:13.515-07:00การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี มี 2 กรณี <br />
1.
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีจากประมาณการกำไรสุทธิ
จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลานั้นและให้คำนวณและ
ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณกำไรสุทธิในรอบของระยะ
เวลานั้นแต่เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้เสียภาษีประมาณการกำไรสุทธิน้อยกว่าที่ควร
ประมาณการ
จึงมีการกำหนดให้ผู้เสียภาษีหากมีการแสดงประมาณกำไรขาดไปเกินร้อยละ 25
ของกำไรสุทธิ จะถูกลงโทษต้องเสียเงินเพิ่มอีกร้อยละ 20 หาก<span class="text_exposed_show">ผู้
เสียภาษีจะไม่ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ
จะต้องเป็นมีเหตุอันสมควร
แต่แนวปฏิบัติที่พิจารณาเหตุอันสมควรตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ป. 50/ 2537
กำหนดให้จัดทำประมาณกำไรสุทธิและยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีครึ่งปีไว้ไม่
น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี
เงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว
ปัจจุบันกรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ป. 152/2558 ลงวันที่ 10
กันยายน 2558 กำหนดเหตุอันสมควรเพิ่มเติมมาอีกกรณีหนึ่ง ดังนี้</span><br />
<a name='more'></a><br />
<div class="text_exposed_show">
สำหรับการจัดประมาณกำไรสุทธิไม่น้อยกว่ากำไรสุทธิที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ
เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว
แต่ได้เสียภาษีครึ่งปีไว้น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ได้
ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้ว
เนื่องจากได้รับยกเว้นหรือลดอัตราภาษี
โดยใช้ตั้งแต่รอบระยะเวลาเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2555<br />
ดังนั้น ตั้งแต่ปี 2555 ภาษีเงินได้นิติบุคคลได้รับการลดอัตราภาษีจากร้อยละ
30 เหลือร้อยละ 23 และในปี 2556-2558เหลือร้อยละ 20
หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล SMEs
มีการเพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิแรก 100,000
บาทมาเป็น 300,000 บาท ในรอบระยะเวลาบัญชีตั้งแต่ปี 2556
หากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นกำไรสุทธิไม่น้อยกว่ากำไรสุทธิของ
รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วเนื่องจากการยกเว้นหรือลดภาษี
แม้ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนี้จะน้อยกว่ากึ่ง
หนึ่งของภาษีที่ต้องชำระในรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วก็ถือว่ามีเหตุอันสมควร
ตามคำส่งกรมสรรพากรที่ ป.152/2558
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลไม่ต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 25
แต่ถ้าหากไม่มีการยกเว้นภาษีหรือลดอัตราภาษีก็จะต้องมีการชำระภาษีครึ่งปีใน
รอบระยะเวลาบัญชีนี้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของรอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วตามแนว
ปฎิบัติเดิม<br />
ตัวอย่างเช่น ปี 2554 บริษัทฯประมาณกำไรสุทธิ 10,000
บาท กึ่งหนึ่งของประมาณกำไรสุทธิ คือ 5,000 บาท อัตราภาษีในปี 2554 ร้อยละ
30 บริษัทฯจึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 1,500 บาท
ถ้าบริษัทฯประมาณกำไรสุทธิในปี 2555 ประมาณกำไรสุทธิ 11,000 บาท
กึ่งหนึ่งของประมาณกำไรสุทธิ คือ 5,500 บาท อัตราภาษีในปี 2555 ร้อยละ 23
บริษัทฯจึงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 1,265 บาท ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่
ป.152/ 2558 ถือว่ามีเหตุอันสมควรเนื่องจากมีการลดอัตราภาษี<br />
2.
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชีจากกำไรสุทธิของรอบระยะ
เวลาหกเดือนแรกซึ่งเป็นกำไรสุทธิที่ต้องปรับปรุงให้เป็นกำไรสุทธิตามประมวล
รัษฎากรจะไม่เสียเพิ่มกรณีมีกำไรสุทธิขาดเกินไปกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom </div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-13047679262483523532015-07-13T23:48:00.002-07:002015-07-13T23:49:10.983-07:00ภาษีโรงเรียนกวดวิชา<div class="_5pbx userContent" data-ft="{"tn":"K"}">
ตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 กำหนดโรงเรียนเอกชนเป็น 2 ระบบ <br />
1. โรงเรียนในระบบหมายความว่า โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยกำหนดจุดมุ่งหมาย
วิธีการศึกษา หลักสูตร ระยะเวลาการศึกษา
การจัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน เช่น
โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนเซนต์ฯต่างๆ โรงเรียนนานาชาติ เป็นต้น<br />
2.
โรงเรียนนอกระบบหมายความว่า
โรงเรียนที่จัดการศึกษาโดยมีความยืดหยุ่นในการกำหนดจุดมุ่งหมาย รูปแบบ
วิธีการจัดการศึกษา ระยะเวลาการศึกษา
การวัดและประเมินผลซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญของการสำเร็จการศึกษา เช่น
โรงเรียนกวดวิชา โรงเรียนสอนภาษา โรงเรียนสอนดนตรี โรงเรียนวิชาชีพ
รวมถึงศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมัสยิด (ตาตีกา) และสถาบันศึกษาปอเนาะ<br />
กฎหมายภาษีเงินได้ของโรงเรียนเอกชนที่มีการแก้ไขตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่
588-590) และกฎกระทรวง ฉบับที่
307ซึ่งมีการลงราชกิจจานุเบกษาแล้วมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2558
โดยสรุปสาระสำคัญตามกฎหมายใหม่ได้ดังต่อไปนี้<br />
<a name='more'></a><br />
1) โรงเรียนในระบบ
ตามมาตรา 24
แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนกำหนดโรงเรียเอกชนในระบบเป็นนิติบุคคล
แต่ไม่ได้เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
จึงทำให้โรงเรียนในระบบไม่ต้องมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
แต่พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชนกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนจะ
ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดิน
ส่วนควบของที่ดินรวมทั้งทรัพย์สินที่ต้องใช้ในกิจการโรงเรียน
(ซึ่งผู้รับใบอนุญาตเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง)
ให้แก่โรงเรียนเอกชนในระบบซึ่งถือว่าเป็นนิติบุคคลต่างหากจากผู้รับใบอนุญาต
ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินเดิม ดังนั้น จึงมีพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 590)
พ.ศ. 2558 กำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์สำหรับการโอนทรัพย์สินดังกล่าวและกฎหมายยังได้
ยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากรให้สำหรับเมื่อโรงเรียนเอกชนในระบบการเลิกกิจการ
และมีการโอนทรัพย์สินคืนให้ผู้รับอนุญาตซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินเดิมหรือ
ทายาทเจ้าของทรัพย์สินและรวมถึงกรณีมีผู้บริจาคทรัพย์สินต่างให้ให้แก่
โรงเรียนเอกชนในระบบ<br />
2) โรงเรียนเอกชนนอกระบบ ผู้ประกอบกิจการ มีภาระภาษีเงินได้ ดังนี้<br />
► หากประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หากมีเงินได้พึงประเมินก่อน 11 กรกฎาคม 2558
จะได้การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามข้อ 2(1) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126
แต่ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2558
เงินได้พึงประเมินจากกิจการโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทกวดวิชาที่ตั้งขึ้น
ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนจะต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 307 พ.ศ. 2558 ที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อ
2(1)แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 126<br />
►
หากประกอบกิจการโรงเรียนเอกชนนอกระบบที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคลก่อน
11 กรกฎาคม 2558 จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 3
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ ฉบับที่ 284
(หากประกอบกิจการในนามบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) และมาตรา 5 นว
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 10) (หากประกอบกิจการในนามมูลนิธิหรือสมาคม)
<br />
แต่ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2558
กิจการโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทกวดวิชาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วย
โรงเรียนเอกชน จะต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาฯ
ฉบับที่ 588 และฉบับที่ 589 พ.ศ.2558 ที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรา 3
แห่งพระราชกฤษฎีกาฯฉบับที่ 284และมาตรา 5 นว แห่งพระราชกฤษฎีกาฯฉบับที่ 10<br />
ดังนั้นการประกอบการโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทกวดวิชาตั้งแต่วันที่ 11
กรกฎาคม 2558
เป็นต้นไปจะต้องมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือภาษีเงินได้
นิติบุคคล<br />
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่มการประกิจการโรงเรียนเอกชนในระบบและโรงเรียนเอกชน
นอกระบบทุกกรณียังได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ฎ)
แห่งประมวลรัษฎากร<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom </div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-16638287245479161852015-06-23T21:32:00.004-07:002015-06-23T21:32:56.021-07:00ภาษีมรดก<div class="_5pbx userContent" data-ft="{"tn":"K"}">
ภาษี
มรดกได้ผ่านสภานิติบัญญัติวาระ 3 โดยออกเป็นพระราชบัญญัติมีทั้งหมด 38
มาตรา
และมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรโดยปรับปรุงการยกเว้นภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการเจ้ามรดกให้ทรัพย์สินผู้รับมรดกก่อนเจ้ามรดกตาย
มีข้อกฎหมายสรุปได้ดังนี้<br />
1) ภาษีมรดกให้มีผลบังคับภายใน 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
2) ภาษีมรดกไม่ใช้บังคับกรณีดังต่อไปนี้<br /> 2.1 มรดกที่เจ้ามรดกตายก่อนจะมีผลบังคับ<br /> 2.2 มรดกที่คู่สมรสของเจ้ามรดกได้รับจากเจ้ามรดก<br />
2.3
บุคคลผู้ได้รับมรดกที่เจ้ามรดกแสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความประสงค์ให้ใช้
มรดกนั้นเพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์<br /> 2.4 หน่วยงานของรัฐบาลและนิติบุคคลที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกิจการศาสนา กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์<br />
2.5
บุคคลหรือองค์การระหว่างประเทศตามข้อผุกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ต่อองค์การสห
ประชาชาติหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศหรือตามสัญญาหรือตามหลักถ้อยทีถ้อยปฎิ
บัติต่อกันกับนานาประเทศ<br />
3) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจากการรับมรดก<br /> 3.1 บุคคลที่สัญชาติไทย<br /> 3.2 บุคคลธรรมดามิได้มีสัญชาติไทยแต่มีถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง<br /> 3.3 บุคคลผู้มิได้มีสัญชาติไทย<br /> บุคคล (3.1) (3.2) เสียภาษีมรดกจากทรัพย์สินทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและนอกประเทศไทย<br /> ส่วนบุคคล (3.3) เสียภาษีมรดกเฉพาะทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย<br />
<a name='more'></a><br />
4) กรณีผู้รับมรดกที่เป็นนิติบุคคลก็ต้องเสียภาษีมรดกหากถือเป็นบุคคลผู้มีสัญชาติไทย<br /> ► นิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยหรือตั้งตามกฎหมายไทย<br /> ► มีผู้มีสัญชาติไทยถือหุ้นเกินร้อยละ 50 ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วในขณะมีสิทธิได้รับมรดก<br /> ► ผู้มีสัญชาติไทยเป็นเป็นมีอำนาจบริหารกิจการเกินกึ่งหนึ่งของคณะบุคคลซึ่งมีอำนาจบริหารกิจการทั้งหมด<br />
5) ผู้ได้มรดกจากเจ้ามรดกแต่ละรายไม่ว่าจะรับมาในคราวเดียวหรือหลายคราว
ถ้าแต่ละรายรวมกันมีมูลค่าเกิน 100 ล้าน ต้องเสียภาษีเฉพาะส่วนที่เกิน 100
ล้าน แต่หักตราสารหนี้ก่อนได้<br />
6) ทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีการรับมรดก<br /> 6.1 อสังหาริมทรัพย์ โดยถือราคาประเมินเป็นมูลค่าในการเสียภาษี<br />
6.2
หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ให้ถือเอาราคาของ
หลักทรัพย์ในเวลาสิ้นสุดเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ได้รับมรดก<br />
6.3
เงินฝากหรือเงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกันที่เจ้ามรดกมีสิทธเรียกถอน
คืนหรือสิทธิเรียกร้องจากสถาบันการเงินหรือบุคคลที่ได้รับเงินนั้นไว้<br /> 6.4 ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน<br /> 6.5 ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา<br />
7) อัตราภาษีมรดก<br /> ►ร้อยละ 10 ของมูลค่ามรดกที่ต้องเสีย<br /> ►ร้อยละ 5 ของมูลค่ามรดก ถ้าผู้เสียภาษีมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน<br />
8)
ผู้มีหน้าที่เสียภาษียื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีตามแบบที่อธิบดีกำหนด
ภายใน 150 วันนับแต่วันที่ได้รับมรดกที่เน้นเหตุให้มีหน้าที่เสียภาษีมรดก
แต่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมรดกจะผ่อนชำระภาษีภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี
ไม่ต้องเสียเงินเพิ่มแต่ผ่อนชำระภาษีภายใน 5 ปี
ส่วนเกินสองปีอาจเสียเงินเพิ่มบางส่วน<br />
9) แก้ไขประมวลรัษฎากร สำหรับปรับปรุงการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้<br />
9.1
เงินได้จากการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่มีค่า
ตอบแทน ให้แก่บุตรชอบด้วยกฎหมายซึ่งไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม
เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น<br /> 9.2
เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะหรือจากการให้โดยเสน่หาจากบุพการี
ผู้สืบสันดานหรือคู่สมรส
เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น<br /> 9.3
เงินได้ที่รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจากการให้โดยเสน่หา
เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ทั้งนี้
จากบุคคลซึ่งมิใช่บุพการี ผู้สืบสันดานหรือคู่สมรส
เฉพาะเงินได้ในส่วนที่ไม่เกินยี่สิบล้านบาทตลอดปีภาษีนั้น<br /> 9.4
เงินได้ที่ได้รับจากการให้โดยเสน่หาที่ผู้ให้แสดงเจตนาหรือเห็นได้ว่ามีความ
ประสงค์ให้ใช้เพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา
กิจการศึกษาหรือกิจการสาธารณประโยชน์ ตามหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขที่กำหนดในกฎกระทรวง<br /> ข้อ 9.1 ถึง 9.3
ถ้าผู้มีเงินได้จะเลือกเสียภาษีในอัตราร้อยละ
5ของเงินได้ส่วนที่เกินยี่สิบล้านผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีตอน
ยื่นแบบแสดงรายการอีก<br />
ดังนั้น
หากพระราชบัญญัติภาษีการรับมรดกมีการลงราชกิจจานุเบกษาในต้นเดือนกรกฎาคม
2558
กฎหมายภาษีการรับมรดกและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการให้จะมีผลบังคับประมาณ
ต้นปี 2559<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom</div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-70178935140359561122015-06-11T01:03:00.000-07:002015-06-11T01:03:07.236-07:00ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับรายรับจากการให้บริการหนังสือพิมพ์ นิตยสารหรือตำราเรียนพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 585)
ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับรายรับจากการให้บริการหนังสือพิมพ์
นิตยสารหรือตำราเรียน
ที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (e-book)
มีผลตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภาคม 2558<br />
เงื่อนไขการได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวเช่นเดียวกับการยกเว้น
ภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการขายหนังสือพิมพ์ นิตยสารหรือตำราเรียน
แต่จะต่างกันในประเด็นการขายหนังสือพิมพ์
นิตยสารหรือตำราเรียนมีสิทธิแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อจดทะเบียนภาษี
มูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่<span class="text_exposed_show">มแต่การ
ให้บริการหนังสือพิมพ์ นิตยสารหรือตำราเรียน
ที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (e-book)
ในปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายขอใช้สิทธิแจ้งต่ออธิบดีกรมสรรพากรเพื่อจดทะเบียน
ภาษีมูลค่าเพิ่มและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้</span><br />
<div class="text_exposed_show">
นอกจากนี้
การขายหนังสือพิมพ์ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ได้การโฆษณาในหนังสือพิมพ์
ในขณะที่การให้บริการหนังสือพิมพ์และโฆษณาหนังสือพิมพ์ในรูปของข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (e-book)
อาจจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มก็ได้แต่ต้องให้กรมสรรพากรตีความต่อไป<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom </div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-48388452493974952222015-05-06T03:26:00.001-07:002015-05-06T03:31:57.314-07:00ภาษีน่ารู้ : ภาระภาษีกรณีนิติบุคคลจ่ายค่าโฆษณาใน Search engineให้กับบริษัทในต่างประเทศ มีภาระทางด้านภาษีใดบ้าง?เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ารู้อีกหนึ่งเรื่องน่ะครับ
สำหรับการที่นิติบุคคลทำโฆษณาบน Search engine ต่างๆ เช่น Google เป็นต้น
หรือที่เรารู้จักกันในนามของ Google adword นั่นเอง
ซึ่งนิติบุคคลที่ทำโฆษณากับ Search engine
นั้นจะเสียค่าโฆษณาตามจำนวนคลิ๊กที่มีผู้สนใจเข้ามาคลิ๊กดูเนื้อหาใน
website ซึ่งประเด็นมีอยู่ว่าการทำธุรกรรมเช่นนี้นั้นมีประเด็นทางภาษีอย่าง
ไรบ้าง?<br />
<u>ประเด็นที่ 1 : ภาษีเงินได้นิติบุคคล</u><br />
รายจ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการของบริษัท
ถือเป็นรายจ่ายได้ไม่ต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี(13) แห่งประมวลรัษฏากร<br />
<u>ประเด็นที่ 2 : ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย</u><br />
การให้บริการดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40(8)
แห่งประมวลรัษฎากร
เมื่อบริษัทจ่ายเงินได้ให้กับนิติบุคคลตามกฏหมายต่างประเทศจึงไม่มีหน้าที่
หักภาษี ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 70 แห่งประมวลรัษฎากร<br />
ซึ่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 นั้นระบุไว้ดังนี้ "<span style="color: black; font-family: ms sans serif,thonburi;">บริษัท
หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ
มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40
(2)(3) (4) (5) หรือ (6) ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี
โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้ </span>"<br />
<u>ประเด็นที่ 3 : ภาษีมูลค่าเพิ่ม</u><br />
การให้บริการดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นการให้บริการในต่างประเทศ
และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร
(เป็นการนำเข้าบริการ) จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
บริษัทผู้จ่ายเงินมีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยแบบ ภ.พ.36
ในอัตราร้อยละ 7 ตามมาตรา 83/6(2) แห่งประมวลรัษฎากร<br />
<br />
<u><em><span style="color: blue;">Credit : CPD Tutor Team</span></em></u> nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-65972269968835168052015-02-06T00:39:00.002-08:002015-02-06T00:39:29.345-08:00ประกาศอธิบดีเกี่ยวกับอากรแสตมป์ฯ ฉบับที่ 54ประกาศอธิบดีเกี่ยวกับอากรแสตมป์ฯ ฉบับที่ 54 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2557
แก้ไขเพิ่มเติมประกาศอธิบดีสรรพากรฯ ฉบับที่ 37
กำหนดให้ชำระอากรเป็นตัวเงินเพิ่มเติมดังต่อไปนี้<br /> (1)
สัญญาเช่าที่ดินโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอื่นหรือแพสำหรับค่าเช่าตั้งแต่
1,000,000 บาทขึ้นไป ซึ่งเดิมกำหนดให้เฉพาะสัญญาที่ทำกับรัฐบาล
องค์การรัฐบาล เทศบาล
สุขาภิบาลหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เช่าและสัญญาเช่าอสังหาฯที่
ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน เจ้าหน้าที่
ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่<span class="text_exposed_show">ดินตามลักษณะแห่งตราสาร 1 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์<br />
(2) สัญญารับจ้างทำของที่มีสินจ้างตั้งแต่ 1,000,000 บาทขึ้นไป
ซึ่งเดิมกำหนดให้เฉพาะสัญญารับจ้างทำของที่ทำกับรัฐบาล องค์การรัฐบาล
เทศบาล
สุขาภิบาลหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ว่าจ้างและมีสินจ้างตั้งแต่
200,000 บาทขึ้นไปตามลักษณะแห่งตราสาร 4 แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์<br /> โดยประกาศอธิบดีฉบับนี้ให้มีผลภายใน 60 วันนับตั้งแต่ลงราชกิจจา (วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558) <br />
ดังนั้น หลัง 60 วัน นับตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558
สัญญาเช่าที่ดินโรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอื่นหรือแพที่มีค่าเช่าตั้งแต่
1,000,000 บาทขึ้นไปและสัญญารับจ้างทำของที่มีสินจ้างตั้งแต่ 1,000,000
บาทขึ้นไปจะต้องชำระอากรเป็นตัวเงิน จะซื้ออากรแสตมป์มาติดไม่ได้<br /> ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ <a href="http://www.rd.go.th/publish/54509.0.html" rel="nofollow" target="_blank">rd.go.th/publish/54509.0.html</a> ครับ</span><br />
<br />
<span class="text_exposed_show">ที่มา facebook.com/taxationdotcom </span><br />
<span class="text_exposed_show"><br /></span>nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-56563533851203264372015-01-16T00:45:00.004-08:002015-01-16T00:45:55.922-08:00ขยายเวลาการยื่นแบบผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตถึง 31 มกราคม 2560ตามที่กระทรวงการคลังขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษี การชำระภาษี
และการนำส่งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้หัก ณ
ที่จ่าย
ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตออกไปอีก 8
วัน
นับแต่วันพ้นกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งจะสิ้นสุด
โครงการในวันที่ 31 มกราคม 2558
ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาศัยอำนาจตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรค 2
แห่งประมวลรัษฎากรขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบการชำระกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดง
รายการดังกล่าวออกไปถึง 31 มกราคม 2560<br /> (คำชี้แจงกรมสรรพากรการขยายกำหนดเวลากำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตฉบับที่ 3 ลงวันที่ 14 มกราคม 2558)<br />
<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2ROztbL_MDLYlKhj5yHGpmR-8tGy649ZEHJ1uKWef0GSE1ZCxFR2yilRYMncVY8WHi_KTc2_OiPXX9aUQn0ypR50uCKrWrj7z7orfnGlUsonDYxFCpxvGB_dt-h7rRcSSDwDBtAyP8CC5/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2ROztbL_MDLYlKhj5yHGpmR-8tGy649ZEHJ1uKWef0GSE1ZCxFR2yilRYMncVY8WHi_KTc2_OiPXX9aUQn0ypR50uCKrWrj7z7orfnGlUsonDYxFCpxvGB_dt-h7rRcSSDwDBtAyP8CC5/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2.jpg" height="320" width="243" /></a></div>
<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom <br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-69330138425342350262015-01-07T18:37:00.000-08:002015-01-07T18:37:08.700-08:00ข้อความที่ต้องระบุเพิ่มในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ รายงานภาษีซื้อและภาษีขายตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใบเพิ่มหนี้ และใบลดหนี้ จะต้องระบุข้อความเพิ่มเติม ดังนี้<br />
1. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
ของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษี(ตั้งแต่ปี2558ต้องระบุสำนักงาน
ใหญ่หรือสาขาที่)<br />
2. ชื่อ
ที่อยู่ของผู้ซื้อสินค้าหรือรับบริการ(ตั้งแต่ปี2558ต้องระบุเลขประจำตัวผู้
เสียภาษีซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนและสำนักงานใหญ่หรือสาขาที่)<span class="text_exposed_show"><br /> การระบุข้อความดังกล่าวจะต้องดำเนินการ ดังนี้</span><br />
<div class="text_exposed_show">
- ตีพิมพ์,จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์,ประทับด้วยตรายาง,
เขียนด้วยหมึก,พิมพ์ดีดหรือทำให้ปรากฏขึ้นด้วยวิธีการอื่นใดในลักษณะทำนอง
เดียวกัน<br />
- สำนักงานใหญ่ สนญ >> HO,HQหรือ 00000 (ห้าหลัก)<br /> - สาขาที่... สาขาที่ 1 >> สาขาที่01,BRANCH NO 1<br /> br.no 1 หรือ 00001(ห้าหลัก)<br />
นอกจากนี้ รายงานภาษีขายจะต้องเพิ่มช่องมา 2 ช่อง ได้แก่ <br /> 1. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อสินค้า/ ผู้รับบริการ<br /> 2. สถานประกอบการต้องระบุสำนักงานใหญ่หรือสาขา<br />
รายงานภาษีซื้อจะต้องเพิ่มช่องมา 2 ช่อง ได้แก่ <br /> 1. เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขายสินค้า/ ผู้ให้บริการ<br /> 2. สถานประกอบการต้องระบุสำนักงานใหญ่หรือสาขา<br />
หากไม่ดำเนินการดังกล่าว ผู้จัดทำใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใบเพิ่มหนี้
ใบลดหนี้ และรายงานภาษีขายและรายงานภาษีซื้อ จะต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่า
ตามมาตรา 89(5)(10) และระวางโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาทตามมาตรา 90(12)(15)<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom </div>
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-5923563167031738502015-01-06T18:37:00.000-08:002015-01-06T18:37:00.639-08:00ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๒๔๙)<div class="ac" style="font-size: 14px;">
<strong style="font-size: 14px;"> ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร<br style="font-size: 14px;" />
เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๒๔๙)<br style="font-size: 14px;" />
เรื่อง กำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย<br style="font-size: 14px;" />
----------------------</strong></div>
เพื่อประโยชน์ในการจัด
เก็บภาษีอากร อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 17 (2) แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่
25) พ.ศ. 2525
อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ดังต่อไปนี้ <br style="font-size: 14px;" />
<strong style="font-size: 14px;">ข้อ ๑</strong>
ให้ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
จัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงยอดเงินคงเหลือยกมา
จำนวนรวมของยอดรายได้และยอดรายจ่ายที่ได้มีการรับมาหรือจ่ายไปในระหว่างปี
ภาษี และยอดเงินคงเหลือยกไป
โดยต้องมีรายการและข้อความอย่างน้อยตามแบบที่แนบท้ายประกาศนี้ <br style="font-size: 14px;" />
<strong style="font-size: 14px;">ข้อ ๒</strong> การจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ตามข้อ 1 ให้ทำเป็นภาษาไทย ถ้าทำเป็นภาษาต่างประเทศให้มีภาษาไทยกำกับ <br style="font-size: 14px;" />
<strong style="font-size: 14px;">ข้อ ๓</strong>
การจัดทำบัญชีหรือรายงานแสดงรายได้และรายจ่าย ตามข้อ ๑
ให้ยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมินพร้อมกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด. ๙๐ หรือ ภ.ง.ด. ๙๑
ของทุกปีภาษี <br style="font-size: 14px;" />
<strong style="font-size: 14px;">ข้อ ๔</strong>
ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสำหรับการยื่นแบบ ภ.ง.ด. ๙๐ หรือ ภ.ง.ด. ๙๑
ซึ่งจะต้องยื่นรายการตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นไป<br />
<br />
ที่มา rd.go.th nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-70195778285634934082015-01-04T18:34:00.001-08:002015-01-04T18:34:54.030-08:00พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39)พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 39) ลงวันที่ 26
ธันวาคม 2557 มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 มีหลักการหลายประการ
ดังนี้<br /> 1) ให้เพิ่มบทนิยามคำว่า "คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล"
ระหว่างบทนิยามคำว่า "บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" และคำว่า "ขาย"
ในมาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 14)
พ.ศ. 2529 <br /> "คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล" หมายความว่า บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงกระทำการร่วมกันอันมิใช่เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ<br />
2) ให้ยกเลิก (14) ของมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแก้ไข้เพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่
14) พ.ศ. 2529<br /> 3)
บทบัญญัติแห่งประมวลรัษฎากรที่ถูกยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
นี้ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะในการปฏิบัติจัดเก็บภาษีอากรที่ค้างอยู่หรือ
ที่พึ่งชำระก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ<br />
<br />
ที่มา facebook.com/taxationdotcom nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-60880925738250093072014-12-20T01:22:00.000-08:002014-12-20T01:22:00.248-08:00ระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลาง ว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท (ฉบับที่ 9) พ.ศ. ๒๕๕7โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและ<br />บริษัทจำกัด เพื่อให้มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจขายตรง และธุรกิจตลาดแบบตรง มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น<br />อาศัยอำนาจตามความใน ข้อ ๓ วรรคสาม และข้อ 4 แห่งกฎกระทรวง จัดตั้งสำนักงานทะเบียน<br />หุ้นส่วนบริษัท แต่งตั้งนายทะเบียน และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด<br />พ.ศ. ๒๕๔๙ ออกตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นายทะเบียนกลางจึงออกระเบียบ ดังต่อไปนี้<br />ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียน<br />ห้างหุ้นส่วนและบริษัท (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2557”<br />ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2557<br />ข้อ 3 บรรดาคำสั่ง ประกาศ และระเบียบอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้ หรือซึ่งขัด<br />หรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน<br />ข้อ 4 ให้ยกเลิกความในข้อ ๓๘ แห่งระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วย<br />การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. ๒๕๕๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วน<br />บริษัทกลางว่าด้วยการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2555 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน<br />“ข้อ ๓๘ ชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจะต้องไม่มีคำหรือข้อความใด ๆ ดังต่อไปนี้<br />(๑) พระนามของพระเจ้าแผ่นดิน พระมเหสี รัชทายาท หรือพระบรมวงศานุวงศ์ในพระราชวงศ์<br />ปัจจุบัน เว้นแต่จะได้รับพระบรมราชานุญาต<br />(๒) ชื่อกระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น หน่วยงานหรือองค์การของรัฐ<br />เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้อง<br />(๓) ชื่อประเทศ กรณีใช้ชื่อประเทศเป็นส่วนหนึ่งของชื่อให้ระบุไว้ในวงเล็บท้ายชื่อ<br />(๔) ชื่อที่อาจก่อให้เกิดสำคัญผิดว่ารัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการ ราชการส่วนท้องถิ่น<br />หน่วยงานหรือองค์การของรัฐทั้งของประเทศไทยหรือต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศเป็นเจ้าของ<br />หรือผู้ดำเนินการ<br />(๕) ชื่อซึ่งมีคำว่า “บริษัทมหาชนจำกัด” “บริษัทจำกัด(มหาชน)” “บมจ” “สมาคมการค้า”<br />หรือ“หอการค้า” หรือชื่อที่คล้ายกันหรือเรียกขานคล้ายกับคำเช่นว่านั้น<br />(๖) ชื่อภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ ซึ่งมีความหมายหรือทำให้เข้าใจได้ว่าประกอบธุรกิจ<br />ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ธุรกิจข้อมูลเครดิต ธุรกิจขายตรง<br />ธุรกิจตลาดแบบตรง กิจการประกันภัย กิจการจัดหางาน และกิจการคลังสินค้า หรือชื่อที่มีคำใดคำหนึ่งที่กำหนด<br />ไว้ท้ายระเบียบนี้ และที่จะกำหนดขึ้นในภายหลังประกอบชื่อ เว้นแต่จะได้แสดงหลักฐานความเห็นชอบ<br />ให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวได้จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง<br />คำว่า “โรงเรียน” “สถาบัน” “วิทยาลัย” “มหาวิทยาลัย” หรือคำในภาษาต่างประเทศ<br />ที่มีความหมายอย่างเดียวกัน เว้นแต่จะได้แสดงหลักฐานความเห็นชอบให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวได้<br />จากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง<br />(๗) ชื่อที่เป็นการสลับชื่อระหว่างห้างหุ้นส่วนกับห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนกับบริษัท หรือ<br />บริษัทกับบริษัท<br />(๘) ชื่อที่เหมือน หรือมีเสียงเรียกขานตรงกันกับชื่อห้างหุ้นส่วน หรือชื่อในหนังสือบริคณห์สนธิ<br />หรือชื่อบริษัทที่ได้ยื่นขอจดทะเบียน หรือนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิด<br />ความหลงผิดได้ เว้นแต่<br />(๘.๑) ชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อแล้ว หรือ<br />(๘.๒) ชื่อห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่ได้จดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้ว หรือ<br />(๘.๓) ชื่อในหนังสือบริคณห์สนธิซึ่งนายทะเบียนรับจดทะเบียนแล้วและปรากฏข้อความ<br />ว่าผู้เริ่มก่อการทุกคนตกลงให้หนังสือบริคณห์สนธิฉบับนั้นสิ้นผล และไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท<br />ภายในสิบปี นับแต่วันที่จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิ<br />(๙) ชื่อที่เหมือน หรือมีเสียงเรียกขานตรงกับชื่อห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทจำกัดที่นายทะเบียน<br />ขีดชื่อออกจากทะเบียนแล้ว เว้นแต่จะพ้นเวลาสิบปีนับแต่วันที่นายทะเบียนขีดชื่อ<br />(๑๐) ชื่อซึ่งมีเครื่องหมาย สัญลักษณ์ หรือตัวเลขโรมัน<br />(๑๑) ชื่อ คำ หรือข้อความที่ไม่สามารถใช้เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนและบริษัทแนบท้ายระเบียบนี้<br />(๑๒) ชื่อที่ขัดต่อแนวนโยบายแห่งรัฐ หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของ<br />ประชาชน<br />(๑๓) ชื่อที่ใช้ภาษาต่างประเทศมีความหมาย หรือเสียงเรียกขานไม่ตรงกับชื่อภาษาไทย<br />(๑๔) ชื่อที่ใช้คำ หรือตัวอักษรไม่ถูกหลักภาษาไทย<br />ผู้ขอจองชื่อต้องตรวจสอบชื่อที่ขอจองในระบบการจองชื่อ ตามหลักเกณฑ์ในข้อ ๓๘ (๑) - (๑๑)<br />ก่อนจองชื่อ ยกเว้นกรณีตามข้อ ๓๘ (๑๒) - (๑๔) ให้นายทะเบียนเป็นผู้ตรวจพิจารณา<br />กรณีห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใช้ชื่อซึ่งพ้องกับชื่อในหนังสือบริคณห์สนธิฉบับอื่นซึ่งได้จดทะเบียน<br />ไว้แล้ว หรือพ้องกับชื่อห้างหุ้นส่วน หรือบริษัทอื่นซึ่งได้จดทะเบียนไว้แล้ว หรือคล้ายคลึงกับชื่อเช่นว่านั้น<br />จนอาจทำให้เกิดความหลงผิดได้ จะต้องรับผิดชอบในการใช้ชื่อดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์<br />มาตรา ๑๘ มาตรา ๖๗ และมาตรา ๑๑๑๕<br />- 2 -<br />ข้อ 5 ให้ยกเลิกความในข้อ ๔4 แห่งระเบียบสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางว่าด้วย<br />การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. ๒๕๕๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน<br />“ข้อ ๔๔ วัตถุที่ประสงค์ของห้างหุ้นส่วนและบริษัทจะต้องไม่มีลักษณะดังต่อไปนี้<br />(๑) ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือขัดต่อ<br />รัฐประศาสโนบาย<br />(๒) ใช้คำหรือข้อความที่มีความหมายไม่ชัดเจน หรือไม่กำหนดขอบเขตให้ชัดเจนแน่นอน<br />(๓) ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์<br />(๔) ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจหลักทรัพย์ กิจการข้อมูลเครดิต บริหารสินทรัพย์ กิจการคลังสินค้า<br />กิจการไซโล หรือกิจการห้องเย็น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />(๕) กิจการจัดหางาน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการดังกล่าวจากกรมการจัดหางาน<br />(6) กิจการนายหน้า ตัวแทน และตัวแทนค้าต่างในธุรกิจต่างๆ เว้นแต่จะได้ระบุว่า<br />ยกเว้นกิจการประกันภัย การหาสมาชิกให้สมาคม และการค้าหลักทรัพย์<br />(7) กิจการเกี่ยวกับการรับจำนองทรัพย์สิน เว้นแต่จะระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า “โดยมิได้รับฝากเงิน<br />หรือรับเงินจากประชาชนและใช้ประโยชน์จากเงินนั้น”<br />(8) กิจการนายหน้าประกันภัย เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการ<br />กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย<br />(9) กิจการแชร์<br />(๑0) กิจการซื้อขายสินค้าล่วงหน้า (คอมโมดิตี้) เว้นแต่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ<br />ดังกล่าวจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />(11) กิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การศึกษา โรงเรียน สถาบันการศึกษา<br />เว้นแต่จะได้ระบุข้อความว่า “เมื่อได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว”<br />(12) ธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจตลาดแบบตรง เว้นแต่จะได้รับการจดทะเบียนให้ประกอบธุรกิจ<br />ดังกล่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค<br />ข้อ 6 คำขอจดทะเบียนซึ่งได้ยื่นขอจดทะเบียนไว้ก่อนวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้เป็นไปตาม<br />ระเบียบที่ใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นคำขอจดทะเบียนนั้น<br />ประกาศ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2557<br />ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์<br />อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า<br />นายทะเบียนกลาง<br />
<br />
ที่มา dbd.go.thnukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-14973289564605945692014-12-19T01:17:00.002-08:002014-12-19T01:17:24.711-08:00หลักเกณฑ์การจดทะเบียนจัดตั้งและเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดใหม่ !ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2558 เป็นต้นไป การยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งและเพิ่มทุนของห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด ซึ่งมีทุนที่ขอจดทะเบียนเกินกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องมีการจัดส่งเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการรับชาระค่าลงทุนต่อนายทะเบียน เพิ่มเติมดังนี้<br />
<br />1.การจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด<br />(1)กรณีชำระด้วยเงิน ให้จัดส่งเอกสารหลักฐานที่ธนาคารออกให้เพื่อรับรองหรือแสดงว่าห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัดได้รับชำระเงินลงหุ้นหรือเงินค่าหุ้นแล้ว ภายใน 15 วันนับถัดจากวันที่นายทะเบียนมีคำสั่งรับจดทะเบียน<br />
<br />(2)กรณีชำระด้วยทรัพย์สิน ให้จัดส่งเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้ภายใน 90 วันนับถัดจากวันที่นายทะเบียนมีคำสั่งรับจดทะเบียน<br />(2.1) ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินที่มีทะเบียน ให้ส่งสำเนาหลักฐานซึ่งแสดงว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์<br />(2.2) ทรัพย์สินประเภทอื่นให้ส่งสำเนาบัญชี แสดงรายละเอียดและมูลค่าทรัพย์สินที่นำมาลงทุน<br />2. การจดทะเบียนเพิ่มทุนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด<br />(1) กรณีชำระด้วยเงินให้จัดส่งเอกสารหลักฐานที่ธนาคารออกให้ เพื่อรับรองหรือแสดงว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดได้รับชำระเงินลงหุ้นหรือเงินค่าหุ้นแล้ว<br />(2) กรณีชำระด้วยทรัพย์สิน ให้จัดส่งหนังสือชี้แจงยืนยันการรับชำระค่าลงหุ้นหรือค่าหุ้นด้วยทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานดังต่อไปนี้<br />(2.1) ทรัพย์สินประเภทอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สินที่มีทะเบียน ให้ส่งสำเนาหลักฐานซึ่งแสดงว่าห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์<br />(2.2) ทรัพย์สินประเภทอื่นให้ส่งสำเนาบัญชี แสดงรายละเอียดและมูลค่าทรัพย์สินที่นำมาลงทุน<br />เอกสารตามข้อ2. ให้จัดส่งพร้อมกับคำขอจดทะเบียน<br />ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวจะต้องแสดงจำนวนเงินหรือมูลค่าทรัพย์สินที่สอดคล้องกับการชำระค่าลงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนหรือค่าหุ้นของผู้ถือหุ้นด้วย<br />ในกรณีที่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัดไม่จัดส่งเอกสารหลักฐานดังกล่าวต่อนายทะเบียน อาจเป็นเหตุให้นายทะเบียนพิจารณาเพิกถอนการจดทะเบียนได้<br />**************************<br />ส่วนพัฒนาการจดทะเบียน<br />กองทะเบียนธุรกิจ<br />18ธันวาคม 2557nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-14647902288361384102014-11-18T20:31:00.002-08:002014-11-18T20:31:44.580-08:00ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 199 ใบกำกับภาษีรูปแบบใหม่ บุคคลธรรมดาไม่ต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีตามที่กรมสรรพากรได้ออกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 196
เกี่ยวกับรูปแบบใบกำกับภาษีแบบใหม่ โดยจะผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2557
แต่ได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มกราคม 2558
โดยสาระสำคัญในใบกำกับภาษีรูปแบบใหม่นี้จะต้องมีระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษี
ของผู้ซื้อหรือผู้รับบริการลงในใบกำกับภาษีด้วย<br />
<span id="more-1726"></span>ซึ่งจริงๆ แล้วก็มีข้อดีในแง่ของการตรวจสอบ
แต่ไม่สะดวกกรณีที่บุคคลธรรมดาจะซื้อสินค้าหรือบริการ
จะต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (ซึ่งเป็นเลขเดียวกับบัตรประชาชน)
ทางกรมสรรพากรจึงได้ออก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรฉบับที่ 199<br />
<strong>ข้อ 7 ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้จัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา
86/4 แห่งประมวลรัษฎากร
ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อ
สินค้าหรือผู้รับบริการซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน ไว้ในใบกำกับภาษีนั้น
โดยข้อความดังกล่าวจะตีพิมพ์ จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์
ประทับด้วยตรายาง เขียนด้วยหมึก พิมพ์ดีด
หรือทำให้ปรากฏขึ้นด้วยวิธีการอื่นใดในลักษณะทำนองเดียวกันก็ได้ ทั้งนี้
สำหรับการจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ที่ได้จัดทำ
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป</strong><br />
โดยเนื้อหาที่สำคัญในประกาศฉบับนี้ คือ
ให้ระบุเลขประจำตัวผู้เสียภาษีเฉพาะผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่า
เพิ่มเท่านั้น ดังนั้นกรณีที่ไปซื้อสินค้า
และต้องการให้ออกใบกำกับภาษีในนามของบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นผู้
ประกอบการจดทะเบียน ก็ไม่จำเป็นต้องแจ้งประจำตัวผู้เสียภาษีอีกต่อไป<br />
เนื่องจากบุคคลธรรมดาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับภาษีมูลค่าเพิ่ม
เพราะไม่สามารถนำภาษีซื้อ ภาษีขาย ไปหักลดหย่อนใดๆ ได้
จะใช้ได้แต่เพียงเพื่อเป็นหลักฐานในการจ่ายชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการเท่า
นั้น
ส่วนผู้ประกอบการที่จดทะเบียนมีสิทธิในการนำใบกำกับภาษีให้เครดิตภาษีได้
สำหรับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนก่อนที่จะรับใบกำกับภาษี
จะต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และตรวจสอบให้ถูกต้องด้วย
มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำไปเครดิตภาษีได้<br />
<br />
ที่มา businesssoft.com<br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-56106355439873269992014-11-12T21:43:00.001-08:002014-11-12T21:43:08.933-08:00การคำนวณกำไรสุทธิและเงินได้สุทธิสำหรับกิจการขายอสังหาริมทรัพย์<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT"></span><br />
<strong>กรมสรรพากรได้ออกคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 148/2557</strong><br />
เรื่อง การคำนวณกำไรสุทธิและเงินได้สุทธิสำหรับกิจการขายอสังหาริมทรัพย์
ลงวันที่ 11 ก.ย.2557 โดยยกเลิกคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 61/2539 ลงวันที่ 1
พ.ค.2539
วางแนวทางปฏิบัติในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลของ
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งประกอบกิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>
ที่จะนำไปคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร
หรือในการคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้มีหน้าที่
เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งประกอบกิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span><a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C" target="_blank"></a>เป็นทางการค้าหรือหากำไร<br />
จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา - วิสัชนา ดังนี้<br />
<strong>ปุจฉา</strong> คำว่า “กิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>” ตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป. 148/2557 กำหนดความหมายไว้อย่างไร <br />
<strong>วิสัชนา</strong> คำว่า “กิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span><a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C" target="_blank"></a>” หมายความว่า การขายที่ดิน การขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง การขายสิ่งปลูกสร้าง และการขายอาคารชุด<br />
<strong>ปุจฉา</strong> เกณฑ์การรับรู้รายได้และรายจ่ายทั่วไปของกิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span> กำหนดไว้อย่างไร<br />
<strong>วิสัชนา</strong> ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ซึ่งประกอบกิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>
จะต้องคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร
โดยนำรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี
หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี
แห่งประมวลรัษฎากร<br />
ในการคำนวณรายได้และรายจ่ายตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้เกณฑ์สิทธิ โดยบริษัทหรือ
ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะต้องนำรายได้ที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด
แม้จะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะ
เวลาบัญชีนั้น
และให้นำรายจ่ายทั้งสิ้นที่เกี่ยวกับรายได้นั้นแม้จะยังมิได้จ่ายในรอบระยะ
เวลาบัญชีนั้นมารวมคำนวณเป็นรายจ่ายของรอบระยะเวลาบัญชีนั้น<br />
ทั้งนี้ โดยให้ถือปฏิบัติเกี่ยวกับการคำนวณรายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ดังต่อไปนี้<br />
(1) ให้คำนวณรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นรายได้และรายจ่ายทั้งจำนวนเมื่อมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ เฉพาะการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>ที่มีการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในรอบระยะเวลาบัญชีเดียวกันกับการขายนั้น<br />
(2)
ให้คำนวณรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จในแต่ละ
รอบระยะเวลาบัญชีมารวมคำนวณเป็นรายได้และรายจ่ายในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
หรือ<br />
(3) ให้คำนวณรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องตามงวดที่ถึงกำหนดชำระโดยให้ใช้วิธีการคำนวณตามอัตรากำไรขั้นต้น<br />
การคำนวณเป็นรายได้และรายจ่ายตาม (2) และ (3) ให้ใช้หลักเกณฑ์ตามวิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป<br />
กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้เลือกใช้วิธีหนึ่งวิธีใดตาม (2)
หรือ (3)
เพื่อคำนวณรายได้และรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้สำหรับ
การ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>ประเภทใดแล้ว ให้ใช้วิธีนั้นตลอดไปสำหรับการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span>ประเภทนั้น เว้นแต่จะได้รับอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงจากอธิบดีกรมสรรพากร<br />
การคำนวณรายได้และรายจ่ายของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็น
กิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะ (Publicly Accountable Entities)
ตามมาตรฐานการบัญชี ซึ่งประกอบกิจการ<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT">ขายอสังหาริมทรัพย์</span><a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B9%8C" target="_blank"></a> ให้ใช้เกณฑ์สิทธิตามข้อ 2 โดยให้คำนวณรายได้และรายจ่ายที่เกี่ยวข้องตามวิธีการทางบัญชีที่รับรองทั่วไป<br />
<br />
โดย : <span itemprop="name">สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่มา bangkokbiznews.com</span><br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-83896977365013867192014-10-05T23:12:00.003-07:002014-10-05T23:12:10.796-07:00เสียภาษีอย่างไร เมื่อขายรถยนต์เก่า<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;">
ขายรถยนต์เก่าวันนี้ขอพูดถึงรถยนต์ซะหน่อย
ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในโลกนี้พึ่งพารถยนต์ในการเดินทางเพื่อ
ประกอบธุรกิจ พบญาติ ท่องเที่ยว ซื้อสินค้าประจำวัน ธุระอื่นๆ จิปาถะ
รถยนต์ที่ใช้ก็มีหลากหลายรูปแบบ หลายยี่ห้อ จำไม่หวาดไหว
รถยนต์จึงเป็นปัจจัยสำคัญนอกเหนือจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย
และยารักษาโรค </span><br />
<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;">หากท่านสังเกตข้างถนนจะพบร้านขายรถ
ยนต์เก่าจำนวนมาก ผู้ประกอบการขายรถยนต์เก่าที่ใช้แล้ว
จะหารถยนต์เก่ามาเสนอขายหลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น
ซื้อรถยนต์เก่าจากเจ้าของรถยนต์โดยตรง เข้าประมูลรถยนต์จากการขายทอดตลาด
รับฝากขายรถยนต์จากเจ้าของ เป็นต้น </span><br />
<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;">การขายรถยนต์เก่าที่เป็นรถยนต์ส่วน
ตัวของบุคคลทั่วไปหรือการขายรถยนต์เก่าที่ใช้แล้วของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
นิติบุคคล ต้องเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรหรือไม่
หากต้องเสียภาษีจะเสียอย่างไร เสียที่ไหน คำถามครุ่นคิดอยู่ในใจ
อันนี้ไม่แปลกอะไร
ส่วนใหญ่ประเด็นทางภาษีผู้ขายทรัพย์สินมักจะคิดได้หลังจากตกลงราคาซื้อขาย
กันแล้ว
การคิดทีหลังอาจจะทำให้เงินหรือรายได้จากการขายรถยนต์เก่าต่ำกว่าที่ตนเอง
ต้องการก็ได้ </span><br />
<br />
<span style="color: #990000; font-family: Courier New; font-size: small;"><strong>การขายรถ
ยนต์ส่วนตัวที่ใช้แล้วของบุคคลทั่วไป
หรือการขายรถยนต์เก่าที่ใช้แล้วของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
มีประเด็นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร สรุปได้ ดังนี้ </strong></span><br />
<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;">ขายรถยนต์ส่วนตัวที่ใช้แล้วของบุคคล
ทั่วไป วันดี คืนดี หากมีรายได้มากขึ้น หรืออยากได้รถยนต์คันใหม่
เพราะแคมเปญล่อตาล่อใจ หรือเพราะจะถูกยึดรถยนต์คืน หรือเพราะเหตุใดๆ ก็ตาม <strong><span style="color: #333399;">หากท่านที่เป็น</span><span style="color: #333399;">บุคคล
ธรรมดาและได้ขายรถยนต์ส่วนตัวของท่านออกไป
ท่านไม่ต้องนำเงินได้จากการขายรถยนต์ส่วนตัวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เพราะได้รับการยกเว้นภาษี
เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่มิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร
และถ้าหากรถยนต์นั้นขายได้ราคาสูงกว่า 1.8 ล้านบาท
ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ </span></strong></span><br />
<br />
<span style="color: #006633; font-family: Courier New; font-size: small;"><strong>คำตอบก็คือ
ไม่เสีย เหตุผลเช่นเดียวกันกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แต่การขายรถยนต์ส่วนตัวนั้นจะต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อวงเงิน 200
บาท เช่น ขายรถยนต์ 2 แสนบาท จะเสียอากรแสตมป์ 1,000 บาท
โดยชำระอากรแสตมป์ที่กรมการขนส่งทางบก ขณะที่ได้มีการโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ </strong></span><br />
<br />
<span style="color: #990066; font-family: Courier New; font-size: small;"><strong>ขายรถยนต์
เก่าที่ใช้แล้วของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
กรณีที่บริษัทได้ขายรถยนต์เก่าที่ใช้แล้วของบริษัท ฯลฯ ออกไป
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์เก๋ง รถปิกอัพหรือรถยนต์บรรทุกอื่นใด
จะต้องนำรายได้จากการขายรถยนต์(กำไรจากการขายทรัพย์สิน)มารวมเป็นรายได้
เพื่อคำนวณหาจำนวนกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลต่อไป </strong></span><br />
<br />
<span style="color: #660033; font-family: Courier New; font-size: small;"><strong>ส่วนภาษี
มูลค่าเพิ่มนั้น หากบริษัท ฯลฯ เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
รถยนต์เก่าที่ขายออกไปต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย
ไม่ว่าขณะที่ซื้อรถยนต์มาใช้งานจะมีภาษีซื้อหรือไม่ก็ตาม พูดง่ายๆ
ว่าต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อรถยนต์เมื่อได้ขายรถยนต์ออกไป
โดยใช้ราคาตลาดสำหรับรถยนต์นั้น ในส่วนของอากรแสตมป์ หากบริษัท ฯลฯ
ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายรถยนต์แล้ว
ก็ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์แต่อย่างใด </strong></span><br />
<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;">การขายรถยนต์เก่าที่ใช้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัวของบุคคลทั่วไปหรือรถยนต์ของบริษัทหรือห้างหุ้น
ส่วนนิติบุคคล
ผู้ขายรถยนต์มีหน้าที่ทางภาษีอากรตามประมวลรัษฎากรที่กล่าวมาข้างต้น
ท่านสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนขายและซื้อรถยนต์ได้
ว่าควรจะขายหรือซื้อในราคาใด
แต่ภาษีอากรเป็นเพียงปัจจัยเล็กน้อยในการขายหรือซื้อรถยนต์เก่าที่ใช้แล้ว
มีปัจจัยอื่นที่เป็นตัวแปรที่สำคัญกว่านี้อีกเยอะ เช่น สภาพของรถยนต์
ดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นต้น สวัสดีครับ </span><br />
<br />
<span style="font-family: Courier New; font-size: small;"><span style="font-family: Courier New; font-size: small;">บทความโดย : สมชาย ชูเกตุ ที่มา : โพสต์ทูเดย์ วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552</span> </span><br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-88314864201751269372014-09-29T21:53:00.003-07:002014-09-29T21:53:31.197-07:00ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (1)<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT"></span><br />
<strong>ช่วงเดือนก.ย.ของทุกปี เป็นเดือนสุดท้ายของกำหนดเวลาการยื่นแบบ ภ.ง.ด.94</strong><br />
<br />
<span id="Google-adsense-indetail">
</span>
สำหรับผู้มีเงินได้พึงประเมินตาม
มาตรา 40 (5) - (8) แห่งประมวลรัษฎากร
ในระหว่างเดือนม.ค.ถึงเดือนมิ.ย.ของปีภาษี
ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นด้วยหรือไม่
จึงขอนำมาเป็นประเด็นปุจฉา - วิสัชนา ดังนี้<br />
<strong>ปุจฉา</strong> เงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมายื่นแบบ ภ.ง.ด.94 เพื่อเสีย<a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5" target="_blank">ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี</a> มีรายการเงินได้ใดบ้าง <br />
<strong>วิสัชนา</strong> เงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมายื่นแบบ ภ.ง.ด.94 ได้แก่ เงินได้ประเภทต่อไปนี้<br />
1. เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร
จากการให้เช่าทรัพย์สิน อาทิ การให้เช่าที่ดิน บ้าน โรงเรือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น รถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องแต่งกาย หนังสือ
หรือแม้กระทั่งต้นไม้ แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเงินกินเปล่า
เงินช่วยค่าก่อสร้าง เงินค่าซ่อมแซม
ค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์<br />
2. เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
จากวิชาชีพอิสระ อาทิ แพทย์ ทนายความ วิศวกร สถาปนิก
สำนักงานบัญชีและผู้สอบบัญชี ผู้รับจ้างทำงานศิลป์ เช่น ช่างวาด ช่างปั้น
ช่างหล่อ ช่างแกะสลัก<br />
3. เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7)
แห่งประมวลรัษฎากรจากการรับเหมาที่ต้องจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจาก
เครื่องมือ อาทิ เงินได้จากรับเหมา
ก่อสร้างที่ผู้รับเหมาต้องจัดหาวัสดุก่อสร้างมาใช้ในการรับจ้างเหมาด้วย<br />
4. เงินได้ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร
จากการประกอบธุรกิจหรือการให้บริการ การพาณิชย์หรือการค้าขาย
การเกษตรกรรมหรือเงินได้จากการขายพืชผลทางการเกษตรของชาวไร่ ชาวสวน
การอุตสาหกรรมหรือผู้ผลิตสินค้า การขนส่ง อาทิ แท็กซี่ รถรับจ้างขนส่ง
หรือการอื่นใดที่ไม่เข้าลักษณะเป็นเงินได้ประเภทอื่น อาทิ
รางวัลจากการประกวดแข่งขัน ชิงโชค<br />
<strong>ปุจฉา</strong> มีข้อกำหนดเกี่ยวกับเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 อย่างไร<br />
<strong>วิสัชนา</strong>
เกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.94
ให้ใช้เกณฑ์เดียวกับเกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำเพื่อแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำ
ปี โดยจะต้องมีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ถึงประเภทที่ 8
ในระหว่างเดือนม.ค.ถึงเดือนมิ.ย.เกินกว่าจำนวนต่อไปนี้<br />
1. เกินกว่า 30,000 บาท
สำหรับผู้มีเงินได้ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือผู้ที่ไม่มีคู่สมรส
รวมทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
และกองมรดกที่ยังมิได้แบ่งด้วย<br />
กรณีสามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีเงินได้
ไม่ว่าความเป็นสามีภริยาจะได้มีอยู่ตลอดปีภาษีหรือไม่นั้น นับแต่ปีพ.ศ.
2555 เป็นต้นมา
ได้มีข้อกำหนดให้สามีภริยาต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ยื่นรายการเงินได้ในส่วนของ
ตน หากสามีภริยามีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ถึงประเภทที่ 8
ทั้งสองจะใช้สิทธิเลือกให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของฝ่ายหนึ่งเป็นของอีก
ฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องเลือกตั้งแต่การยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 เพื่อเสีย<a class="anchor-link" href="http://www.bangkokbiznews.com/home/search/?cx=009233870810540600983%3Ahkyg0dlysoo&cof=FORID%3A9&ie=windows-874&q=%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5" target="_blank">ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี</a>นี้เลย มิฉะนั้น ก็จะทำไม่ได้สิทธิเลือก ต้องกลับไปใช้กรณีต่างฝ่ายต่างยื่นเงินได้ในส่วนของตน<br />
2. เกินกว่า 60,000 บาท กรณีผู้มีเงินได้มีคู่สมรส โดยผู้มีเงินได้มีเงินได้แต่เพียงฝ่ายเดียว<br />
<br />
โดย : <span itemprop="name">สุเทพ พงษ์พิทักษ์ ที่มา bangkokbiznews.com</span> <br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-40950475088251435722014-07-07T21:22:00.004-07:002014-07-07T21:22:55.815-07:00ขยายระยะเวลาการปรับลดภาษี 3 ประเภท<span style="background-color: white;"><b>กรมสรรพากร ได้ปรับขยายระยะเวลาการปรับลดภาษี 3 ประเภท ดังนี้</b></span><br /><br /> 1.
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะขยายระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 - 31 ธันวาคม
2558 ในอัตราร้อยละ 5, 10, 15, 20, 25, 30, 35 เพื่อความสมดุลและเป็นธรรม
ผู้ที่มีรายได้น้อยจะชำระภาษีน้อย ผู้มีรายได้มากจะชำระภาษีมาก<br /><br />
2. ภาษีนิติบุคคล ระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม 2558 แต่ไม่เกินวันที่ 31
ธันวาคม 2558 ในอัตราร้อยละ 20 เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจของภาคเอกชนขยายตัว
สร้างความเชื่อมั่นในการลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ<br /><br /> 3.
ภาษีมูลค่าเพิ่ม เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2557 - 30 กันยายน 2558
ในอัตราร้อยละ 7 รวมภาษีท้องถิ่น
เพื่อกระตุ้นการบริโภคของประชาชนและลดค่าครองชีพnukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-6062611199861836078.post-18991266110344164072014-06-24T00:42:00.001-07:002014-06-24T00:42:27.666-07:00อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (4)<span id="advenueINTEXT" name="advenueINTEXT"></span><br />
<strong>ขอนำประเด็น
ปัญหาการยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่
530) พ.ศ. 2554 มาปุจฉา - วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้</strong><br />
<span id="Google-adsense-indetail">
</span>
<strong>ปุจฉา</strong>
ขอให้ทบทวนหลักเกณฑ์
และเงื่อนไขเกี่ยวกับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดย่อม
อีกครั้งหนึ่งด้วย<br />
<strong>วิสัชนา</strong>
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดย่อม
หรือ SMEs เป็นไปตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 530) พ.ศ. 2554
แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 555) พ.ศ. 2555 ดังต่อไปนี้<br />
“มาตรา 5 ให้ลดอัตราภาษีเงินได้ตาม (ก) ของ (2)
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แห่งบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวด 3
ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร และคงจัดเก็บในอัตรา ดังต่อไปนี้<br />
(1) ร้อยละยี่สิบสามของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555
แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555<br />
(2) ร้อยละยี่สิบของกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556
แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557” <br />
<strong>จากบทบัญญัติดังกล่าว พอสรุปความได้ว่า</strong><br />
1.
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้น
ส่วนนิติบุคคลขนาดย่อม หรือ SMEs รวมทั้งกิจการร่วมค้า
จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิในส่วนที่ไม่เกิน
150,000 บาท สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2555 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555 และไม่เกิน 300,000 บาท
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556
แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557<br />
2.
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้น
ส่วนนิติบุคคลขนาดย่อม หรือ SMEs รวมทั้งกิจการร่วมค้า
จะได้รับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจากร้อยละ 30
ของกำไรสุทธิเป็นร้อยละ 23 และร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิเพียง 3
รอบระยะเวลาบัญชีดังต่อไปนี้<br />
(1) ร้อยละ 23 ของกำไรสุทธิ
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555
แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555<br />
(2) ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ
สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556
แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557<br />
อนึ่ง
การที่รัฐบาลกำหนดให้มีการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้าง
หุ้นส่วนนิติบุคคลเพียงไม่เกิน 3 รอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ก็เนื่องจากในสภาวการณ์ขณะนั้น รัฐบาลเชื่อมั่นว่า
จะสามารถแก้ไขบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั่วไปที่มิใช่บริษัทหรือห้างหุ้น
ส่วนนิติบุคคลขนาดย่อม หรือ SMEs รวมทั้งกิจการร่วมค้า ได้ทันภายในปี พ.ศ.
2557 ดังนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าว
คาดว่าจะมีการขยายกำหนดเวลาการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปอีกอย่างแน่
นอน เพื่อให้สอดรับกับกิจการ SMEs<br />
<br />
ที่มา bangkokbiznews.com โดย สุเทพ พงษ์พิทักษ์ <br />
nukhttp://www.blogger.com/profile/17285218976923622776noreply@blogger.com0