การประกอบธุรกิจขายสินค้าหรือให้
บริการหากผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้
บริการ 1,800,000 บาทขึ้นไปจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่ก็มีธุรกิจขายสินค้าหรือให้บริการบางประเภทที่กฎหมายให้สิทธิยกเว้นไม่
ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ธุรกิจขายพืชผลทางการเกษตร ขายสัตว์
ขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร ธุรกิจขนส่ง เป็นต้น
เมื่อผู้ประกอบการได้
จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
ทำให้ผู้ประกอบการมีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากรคือ
จะต้องออกใบกำกับภาษีพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้า
ต้องจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มให้เสร็จภายใน 3 วันทำการ ต้องยื่นแบบ (ภ.พ.
30)
และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ว่าจะมีภาษีที่ต้องชำระหรือไม่ก็ตามภายในวันที่
15 ของเดือนถัดไป
ไม่ว่าผู้ประกอบการนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ตาม
"ชา
นนท์"
เป็นสมุห์บัญชีบริษัทแห่งหนึ่งประกอบธุรกิจผลิตสินค้าออกมาจำหน่ายเป็นการ
ทั่วไป ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในแต่ละเดือนภาษีจึงมีหน้าที่นำภาษีขายมาหักออกจากภาษีซื้อเพื่อคำนวณหาภาษี
ที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรในแต่ละเดือน
ซึ่งภาษีขายเกิดจากการขายสินค้าให้กับลูกค้าแล้วเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม
จากลูกค้าเพื่อนำส่งกรมสรรพากร
ส่วนภาษีซื้อเกิดจากการซื้อสินค้า
วัตถุดิบ ทรัพย์สิน ตลอดจนการจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
แล้วถูกผู้ประกอบการรายอื่นเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งผู้ประกอบการมี
สิทธิขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ "ชานนท์"
จึงมีหน้าที่นำภาษีขายมาหักออกจากภาษีซื้อในแต่ละเดือนเพื่อคำนวณหาภาษีที่
ต้องนำส่งหรือขอคืน
หากเดือนใดภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อผลแตกต่างที่
เกิดขึ้นต้องนำส่งกรมสรรพากร
หากเดือนใดภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อผลแตกต่างที่เกิดขึ้นมีสิทธิขอคืนภาษี
มูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร
บริษัทที่ "ชานนท์"
เป็นสมุห์บัญชีอยู่นั้นได้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ออกไปไม่ว่าจะเป็นการซื้อวัตถุดิบนำมาผลิตสินค้า วัสดุสิ้นเปลืองในการผลิต
ซื้อเครื่องจักร เครื่องมือเครื่องใช้ รวมถึงค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ
จำนวนมากในแต่ละเดือน
หากไปซื้อจากร้านค้าใดก็มักจะขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากร้านค้าแห่งนั้นเพื่อ
นำมาใช้สิทธิในการขอภาษีซื้อคืน
ทุกครั้งที่ "ชานนท์"
ได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปชานนท์จะพิจารณาว่า
ใบกำกับภาษีเต็มรูปนั้นมีข้อความครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
หากใบกำกับภาษีที่ได้รับมีการแก้ไข ขูด ขีด ลบ
ฆ่าในข้อความที่เป็นสาระสำคัญใบกำกับภาษีใบนั้นก็ไม่สามารถนำมาขอคืนภาษี
มูลค่าเพิ่มได้
ปัญหาที่ "ชานนท์" พบในบริษัทของตนเองก็คือ
ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายขาย
ฝ่ายบริหารได้มีการจ่ายค่าใช้จ่ายแล้วขอใบกำกับภาษีซึ่งต้องนำมาเบิกเงินกับ
ฝ่ายบัญชีการเงิน จะทราบได้อย่างไรว่า "ใบกำกับภาษีซื้อ"
ดังกล่าวขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้หรือไม่ มีวิธีใดบ้างที่จะดูว่าเป็น
"ใบกำกับภาษีปลอม"
คำถามของชานนท์เป็นคำถามที่เกิดขึ้นแทบทุกธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเลยทีเดียว มาพิจารณาจากประเด็นแรกกันก่อนว่า เมื่อได้รับใบกำกับภาษีซื้อมาแล้วจะดูอย่างไรว่าขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หลักเกณฑ์มีดังนี้
1. ต้องเป็นกำกับภาษีเต็มรูปตามมาตรา 86/4 ซึ่งมีข้อความครบ 8 ประเด็น
2. คำว่า "ใบกำกับภาษี" ต้องพิมพ์มาจากโรงพิมพ์ หรือ พิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
3.
คำว่า "ชื่อ-ที่อยู่" และ "เลขประจำตัวผู้เสียภาษี"
ของผู้ขายหรือผู้ให้บริการ ต้องพิมพ์มาจากโรงพิมพ์
หรือพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
4. ต้องไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงบนใบกำกับภาษี
หากเข้าหลักเกณฑ์เบื้องต้นทั้ง 4
ประเด็น ใบกำกับภาษีนั้นก็มีสิทธิขอคืนได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร
แต่อย่างไรก็ดีใบกำกับภาษีซื้อที่จะขอคืนได้ต้องไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไป
นี้
(1)
กรณีไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ
เว้นแต่จะเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(2) กรณีใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(3) ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ ของผู้ประกอบการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(4) ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรองหรือ เพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
(5) ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยผู้ที่ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี
(6) ภาษีซื้อตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี
ประเด็น
ของใบกำกับภาษีปลอมจะมีวิธีตรวจสอบอย่างไรเนื่องจากประมวลรัษฎากรมีบทกำหนด
โทษหากนำใบกำกับภาษีปลอมมาขอคืนภาษีซื้อที่ออกโดยผู้ไม่มีสิทธิออกเนื่องจาก
ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
หรือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจ
แต่ทำใบกำกับภาษีปลอมขึ้นมาขายให้กับผู้ประกอบการรายอื่น
ถือเป็นการผิดกฎหมายมีบทลงโทษเบี้ยปรับ 200,000 บาท หรือจำคุก 7 ปี
หรือทั้งจำและปรับ
สิ่งที่ชานนท์จะต้องระมัดระวังก็คือ
เมื่อมีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ออกไปให้จ่ายเป็นเช็คขีดคร่อม A/C
Payee Only ซึ่งระบุผู้รับเงินตามเช็คและโอนเปลี่ยนมือไม่ได้
การจ่ายเช็คให้ระบุชื่อผู้รับเงินตามใบกำกับภาษี
อีกวิธีหนึ่งเมื่อ
ได้รับใบกำกับภาษีให้ตรวจสอบ Web Site ของกรมสรรพากรที่ www.rd.go.th
เข้าไปที่ตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบการแล้วพิมพ์ชื่อผู้ออกใบกำกับภาษี
ก็จะทราบได้ว่า ใบกำกับภาษีที่ได้รับนั้นมีสิทธิออกหรือไม่
จะเห็น
ได้ว่า "ใบกำกับภาษีปลอม"
มีผู้ประกอบการหลายรายที่ได้มีการซื้อเข้ามาจัดทำบัญชีและยื่นขอภาษีซื้อคืน
จากกรมสรรพากร และได้ถูกดำเนินคดีลงโทษสูงสุดมามากต่อมากแล้ว
ระบบควบคุมภายในเพื่อตรวจสอบใบกำกับภาษีจึงจำเป็นสำหรับธุรกิจที่จะต้องมี
การตรวจสอบทุกครั้งที่ได้รับใบกำกับภาษีซื้อว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
ที่มา : สมเดช โรจน์คุรีเสถียร http://www.manager.co.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น