เมื่อ
กล่าวถึงการเช่าทรัพย์หรือสัญญาเช่าทรัพย์แล้ว
ท่านผู้อ่านหลายท่านที่คลุกคลีอยู่กับวงการภาษีอากรคงจะคุ้นเคยกันเป็น
ประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรอย่างดี ทั้งนี้
ก็เนื่องมาจากประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรนั้นมีหลากหลายมากมายจน
อาจกล่าวได้ว่าจำกันไม่ไหวเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีไม่ว่าประเด็นปัญหาดังกล่าวกรมสรรพากรจะได้มีการวางแนววินิจฉัย
ไว้แล้วเพียงใดก็ตาม แต่ก็พบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ยังคงประสบกับปัญหาต่างๆ
กันอยู่ไม่น้อย
อาจเนื่องมาจากยังขาดความรู้ความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับเอกเทศสัญญา
เกี่ยวกับเช่าทรัพย์ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หรืออาจมีความเข้าใจในประเด็นปัญหาภาษีอากรที่คลาดเคลื่อนไป
รวมทั้งในทางปฏิบัติมีการใช้คำว่า “เช่า” ให้ครอบคลุมไปถึงธุรกรรมอื่นที่ไม่ใช่ “เช่า”
ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น การเช่าพระเครื่อง
การเช่าชั่วโมงอินเทอร์เน็ต
การเช่าพื้นที่เพื่อแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้าต่างๆ
เป็นผลทำให้ความเข้าใจในเรื่องของภาษีอากรเกี่ยวกับเอกเทศสัญญาที่เรียกว่า “เช่าทรัพย์” นั้นคลาดเคลื่อนไปด้วย
บทความในสรรพากรสาส์นฉบับนี้
ผู้เขียนจึงได้รวมรวบเอาเรื่องราวอันเกี่ยวกับการเช่าทรัพย์
ทั้งในด้านความเป็นเอกเทศสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
และในด้านของภาษีอากร
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการมีรายได้จากการให้เช่าทรัพย์ว่าจะต้องมีภาระภาษีอะไร
บ้าง เช่น จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างไร
ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่
และสัญญาเช่าที่ทำกันนั้นต้องติดอากรแสตมป์อย่างไรหรือไม่
รวมทั้งกรณีที่ผู้เช่าได้จ่ายค่าเช่าไปในบางกรณีว่าจะลงเป็นรายจ่ายทางภาษี
หรือนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้น (ถ้ามี) ไปใช้ได้หรือไม่อย่างไร
ความหมายของ “เช่าทรัพย์”
เช่าทรัพย์สินเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่ง ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 ความว่า
“อันว่าสัญญาเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่าผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่า
ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัด และผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น” แสดง ให้เห็นว่าสาระสำคัญของสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอยู่ 4 ประการ คือ
1.เป็นสัญญาที่มีบุคคล 2 ฝ่าย คือ
ผู้
ให้เช่าฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งเป็นบุคคลที่ตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินโดยได้
รับค่าเช่าตอบแทน กับผู้เช่าอีกฝ่ายหนึ่ง
ซึ่งเป็นบุคคลซึ่งได้ใช้หรือหรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สิน
โดยตกลงจะชำระค่าเช่า
2.ผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่ง
สัญญาเช่ามิได้มีขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่
เช่าแต่มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ผู้เช่าได้ครอบครองทรัพย์สินที่เช่า
เพื่อที่จะได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่า ดังนั้น
โดยหลักแล้วผู้ให้เช่าจึงไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่า
และเมื่อผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าแล้ว
จะโต้เถียงว่า ผู้ให้เช่าไม่มีอำนาจให้เช่าไม่ได้
3.ผู้เช่าตกลงให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น
สัญญาเช่าทรัพย์สินเป็นสัญญาต่างตอบแทนเนื่องจากว่าคู่สัญญาทั้ง 2
ฝ่ายต่างมีหนี้ตอบแทนกัน กล่าวคือ ผู้ให้เช่าต้องให้ผู้เช่า
ได้ใช้สอยหรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สินที่เช่าโดยได้รับค่าเช่าเป็นการตอบ
แทน
ในทางตรงกันข้ามฝ่ายผู้เช่าซึ่งเมื่อได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์สิน
ที่เช่า ก็มีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเช่า
หากสัญญาเช่านั้นไม่มีการจ่ายค่าเช่าเป็นการตอบแทน ก็อาจไม่ใช่สัญญาเช่า
แต่อาจเป็นสัญญาอื่น เช่น สัญญายืม
หรือหากเป็นการให้อยู่ในอาคารโดยไม่คิดค่าเช่าก็เป็นเรื่อง สิทธิอาศัย
เป็นต้น
4.การเช่านั้นมีกำหนดระยะเวลาจำกัด
การเช่าทรัพย์สินจะต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการเช่าเสมอ
ซึ่งคู่สัญญาอาจตกลงกันได้เป็น 2 ลักษณะคือ อาจกำหนดเป็นชั่วโมง วัน
สัปดาห์ เดือน หรือปี ก็ได้
หรือจะกำหนดระยะเวลาการเช่าตลอดอายุของผู้เช่าหรือของผู้ให้เช่าก็ได้
แต่อย่างไรก็ตาม หากเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์
จะกำหนดระยะเวลาการเช่าได้ไม่เกิน 30 ปี ถ้ากำหนดไว้เกินกว่า 30 ปี สัญญาเช่าดังกล่าวมิได้เสียเปล่าหรือตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด ยังคงใช้บังคับได้แต่ให้ลดลงมาเหลือ 30 ปี
และเมื่อครบกำหนด 30 ปีแล้วคู่สัญญาอาจต่อสัญญาเช่ากันต่อไปอีกก็ได้
แต่กำหนดระยะเวลาที่ต่อออกไปจะต้องไม่เกิน 30 ปี ตามมาตรา 540
แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์
อย่างไรก็ตาม สัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลาก็อาจมีได้
เนื่องจากกฎหมายบัญญัติว่า
ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่อาจสันนิษฐานได้
คู่สัญญามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่า
เช่าก็ได้ทุกระยะ
แสดงเห็นได้ว่าการเช่าที่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่แน่นอนเอาไว้
ก็มีเวลาสิ้นสุดเช่นกัน โดยถือว่าเป็นการเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาจำกัด
ตามมาตรา 537 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หลักเกณฑ์การทำสัญญาเช่าทรัพย์สิน
เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ควรจะได้มีการแบ่งทรัพย์สินที่เช่าออกเป็น
2 ประเภท คือ สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้
การเช่าสังหาริมทรัพย์
กฎหมายมิได้กำหนดว่าจะต้องทำตามแบบหรือจะต้องทำตามหลักเกณฑ์อย่างหนึ่งอย่าง
ใด ดังนั้น แม้ตกลงเช่ากันด้วยวาจาก็สามารถทำได้และมีผลผูกพันคู่สัญญา
การเช่าอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์แตกต่างกันออกไปตามกำหนดระยะเวลาของการเช่า กล่าวคือ
1.กรณีเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี
และไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าตลอดอายุของผู้เช่าหรือของผู้ให้เช่า
ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด
จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้
2.กรณีเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำหนดระยะเวลา 3 ปีขึ้นไป
หรือการเช่าที่มีกำหนดระยะเวลาตลอดอายุของผู้เช่าหรือของผู้ให้เช่า
ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปี
3.กรณีเป็นสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีการกำหนดระยะเวลาเช่ากันไว้
หากไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลใช้บังคับ
ได้เพียง 3 ปี
หน้าที่ของผู้ให้เช่า
ผู้ให้เช่ามีหน้าที่สำคัญคือ ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่เช่า นอกจากนี้
กฎหมายยังกำหนดให้มีหน้าที่อื่นๆ อีก เช่น
ต้องออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาจำนวนครึ่งหนึ่ง
ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สินที่เช่า
หน้าที่ของผู้เช่า
ผู้เช่ามีหน้าที่สำคัญคือ
ต้องชำระค่าเช่าและกฎหมายยังกำหนดให้มีหน้าที่อื่นๆ อีก เช่น
ต้องออกค่าฤชาธรรมเนียมในการทำสัญญาจำนวนครึ่งหนึ่งหน้าที่เกี่ยวกับการใช้
สอยทรัพย์สินที่เช่า หน้าที่ในการสงวนรักษาและดูแลทรัพย์สิน
หน้าที่คืนทรัพย์สินที่เช่า
สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา
สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาคืออะไร
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่าคือสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ชนิดหนึ่งที่ผู้เช่า
ต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ
เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ให้เช่านอกเหนือไปจากค่าเช่าตามปกติ เช่น
การเช่าอาคารโดยผู้เช่าจะต้องปลูกสร้างอาคารขึ้นมาแล้ว
ยกกรรมสิทธิ์ในอาคารนั้นให้แก่เจ้าของที่ดิน
การออกเงินช่วยเจ้าของที่ดินเพื่อทำการก่อสร้างอาคาร
และผู้ให้เช่าจึงจะให้เช่าอาคารนั้น
การเช่าที่ดินโดยผู้เช่าจะต้องปลูกต้นไม้ลงบนที่ดินนั้นแล้วยกกรรมสิทธิ์ใน
ต้นไม้ให้แก่เจ้าของที่ดิน เป็นต้น
ลักษณะของสัญญาต่างตอบแทนพิเศษ ยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดานี้ มิได้ถูกกำหนด
หรือบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่ประการใด
หากแต่เกิดขึ้นเพราะแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่กำหนดขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์
ที่จะให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างคู่กรณี
เพราะในสัญญาเช่าธรรมดาผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเท่านั้น
แต่ในสัญญาเช่าที่มีสัญญาต่างตอบแทนชนิดพิเศษซ้อนอยู่นี้
นอกจากค่าเช่าตามปกติแล้ว
ผู้เช่ายังจะต้องให้ค่าตอบแทนพิเศษอย่างอื่นแก่ผู้ให้เช่าด้วย ดังนั้น
หากจะให้บังคับกันเยี่ยงสัญญาเช่าธรรมดาก็อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่
ผู้เช่าได้ ซึ่งจะพบตามคำพิพากษาฎีกาเป็นการทั่วไปว่า
สัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา
ศาลจะไม่นำบทบัญญัติว่าด้วยสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้
เช่น หากเป็นกรณีการเช่าอสังหาริมทรัพย์แม้จะมิได้ทำตามแบบก็มีผลใช้บังคับ
ถือเป็นบุคคลสิทธิ แต่ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวสามารถตกทอดแก่ทายาทได้เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ต้องพึงระวังว่าค่าตอบแทนพิเศษต่างๆ
ในบางกรณีก็ไม่ถือว่าเป็นค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือไปจากค่าเช่า เช่น
กรณีเงินกินเปล่าหรือเงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าหน้าดิน เป็นต้น
ซึ่งเมื่อไม่เป็นค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือไปจากค่าเช่าแล้ว
สัญญาเช่าดังกล่าวก็จะต้องบังคับกันเช่นสัญญาเช่าธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
เนื่องจากภาระภาษีอากรจากการเช่าทรัพย์มีด้วยกันหลายประเภท ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้นำเสนอโดยแยกเป็นรายประเภทภาษี ดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(5)
แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งผู้มีเงินได้จะต้องนำค่าเช่าที่ได้รับจริงไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่น
เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี
โดยจะต้องทำการคำนวณภาษีและยื่นรายการด้วยแบบ ภ.ง.ด.90
ภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
และนอกจากนี้ยังคงมีหน้าที่จะต้องคำนวณภาษีเงินได้ครึ่งปีอีกด้วย
โดยต้องคำนวณภาษีและยื่นรายการด้วยแบบ ภ.ง.ด.94
ภายในเดือนกันยายนของปีภาษีนั้นๆ
สำหรับจำนวนเงินได้พึงประเมินที่ได้จากการให้เช่าทรัพย์สินนั้น
แม้ว่าในการจัดเก็บภาษีเงินได้ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีจากเงินได้พึง
ประเมินที่ได้รับจริง
หรือกล่าวได้ว่าเป็นการใช้เกณฑ์เงินสดในการเสียภาษีก็ตาม แต่
สำหรับ เงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าทรัพย์สินนี้
แม้ว่าผู้มีเงินได้จะได้รับจริงเท่าใดก็ตามแต่หากเจ้าพนักงานประเมินมีเหตุ
อันควรเชื่อว่าเป็นเงินได้ที่ต่ำกว่าความเป็นจริงก็มีอำนาจที่จะประเมินเงิน
ได้ตามจำนวนเงินที่ทรัพย์สินนั้นสมควรให้เช่าได้ตามปกติ ซึ่งเป็นตามมาตรา
40(5) วรรค 2 แห่งประมวลรัษฎากร
ในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น
ผู้มีเงินได้สามารถหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินประเภทค่าเช่า
ทรัพย์สินได้ 2 วิธี คือ
อาจหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
หรือจะหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรก็ได้
ในเรื่องภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานี้
ในทางปฏิบัติจะพบว่านอกจากที่ผู้เช่าจะจ่ายเงินได้ค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า
แล้ว ยังมีการจ่ายเงินกินเปล่า หรือเงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินช่วยค่าก่อสร้าง
หรืออื่นๆ แล้วแต่ว่าจะเรียกอย่างไร
ซึ่งบรรดาเงินที่ผู้เช่าได้จ่ายให้นี้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ผู้ให้
เช่าได้รับจากการให้เช่าทรัพย์สินทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอน
ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นผู้มีเงินได้จะต้องนำไปรวมกับเงินได้อื่นเพื่อคำนวณภาษี
เงินได้บุคคลธรรมดา ในปีภาษีที่ได้รับเงินได้พึงประเมินนั้นทั้งจำนวน
อย่างไรก็ดี
เนื่องจากเงินกินเปล่า หรือเงินแป๊ะเจี๊ยะ
ที่ผู้ให้เช่าได้รับนั้นเป็นเงินที่ได้รับเนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สินตาม
ระยะเวลาที่ตกลงกันในสัญญาเช่า
โดยมีการตกลงจ่ายกันครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ตาม
การบังคับให้ผู้มีเงินได้นำเงินดังกล่าวไปรวมคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาในปีภาษีที่ได้รับทั้งจำนวน
ดูเหมือนเป็นการเพิ่มภาระหรือเป็นการลงโทษผู้มีเงินได้เพราะอัตราภาษีเงิน
ได้บุคคลธรรมดาของประเทศไทยใช้อัตราก้าวหน้า
การที่มีเงินได้มากจึงต้องมีภาระภาษีมาก ทั้งๆ
ที่เป็นเงินได้สำหรับการให้เช่าที่มีกำหนดหลายๆ ปี
หากมีการจ่ายจริงตามช่วงเวลาที่เช่ากันก็จะไม่เสียภาษีสูงเท่ากับการได้รับ
เงินก้อนในปีแรก
ดังนั้น
กระทรวงการคลังจึงได้มีประกาศ ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2528
ยอมให้ผู้ให้เช่าเฉลี่ยเงินกินเปล่า เงินแป๊ะเจี๊ยะ เงินค่าปลูกสร้าง
เงินค่าซ่อมแซม ตามส่วนแห่งจำนวนปีของอายุการเช่า เช่น
กรณีได้รับเงินกินเปล่า 300,000 บาท โดยมีสัญญาเช่าผูกพัน 10 ปี
ก็ให้เฉลี่ยเงินกินเปล่าจำนวน 300,000 บาท ออกเป็นรายปีจำนวน 10 ปี
โดยผู้มีเงินได้จะต้องยื่นรายการและชำระภาษีเงินได้จากเงินกินเปล่า
เงินแป๊ะเจี๊ยะที่เฉลี่ยเป็นรายปีนั้น
เป็นการล่วงหน้าปัญหาที่ต้องพึงระวังก็คือ
เงื่อนไขการยื่นรายการและชำระภาษีตามประกาศกระทรวงการคลังฉบับนี้
กำหนดให้ต้องยื่นรายการและชำระภาษีในปีที่ได้รับเงินได้
เน้นว่าต้องเสียภาษีในปีที่ได้รับเงินได้พึงประเมิน มิฉะนั้น จะถือว่า
ไม่เข้าลักษณะที่กระทรวงการคลังได้ผ่อนผันให้ ตัวอย่างเช่น
ได้รับเงินกินเปล่าในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 ก็จะต้องยื่นรายการด้วยแบบ
ภ.ง.ด.93 และชำระภาษีให้เสร็จภายในปี พ.ศ. 2549 มิใช่ไปยื่นพร้อมแบบ
ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ในเดือนมีนาคม 2550 เป็นต้น
ภาษีเงินได้นิติบุคคล
บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน
จะต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิ
โดยค่าเช่าที่ได้รับตามสัญญาเช่าเกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีใด
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
ก็ต้องนำมารวมคำนวณเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ตามมาตรา 65
แห่งประมวลรัษฎากร
และสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับรายได้นั้นมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณ
กำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้นเช่นกัน
สำหรับเงื่อนไขในการคำนวณกำไรสุทธิสำหรับบริษัทที่มีรายได้จากการให้เช่า
ทรัพย์สิน ก็คงไม่แตกต่างไปจากบริษัททั่วไป กล่าวคือ
จะต้องคำนวณกำไรสุทธิให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติในมาตรา 65 ทวิ
และมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร
ซึ่งแน่นอนหากเป็นกรณีที่บริษัทให้บุคคลอื่นเช่าทรัพย์สินโดยไม่คิดค่าเช่า
หรือคิดค่าเช่าต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว
เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจที่จะกำหนดค่าเช่านั้นตามราคาตลาดได้ ทั้งนี้
ตามมาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทมีรายได้จากเงินค่าเช่ารับล่วงหน้า เงินกินเปล่า
หรือเงินแป๊ะเจี๊ยะ
จะต้องคำนวณรายได้ดังกล่าวโดยเฉลี่ยเงินค่าเช่ารับล่วงหน้าตามส่วนแห่งจำนวน
ปีของอายุการเช่า และต้องนำส่วนเฉลี่ยที่เป็นของรอบระยะเวลาบัญชีใด
มารวมคำนวณกำไรสุทธิกับเงินค่าเช่า ในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวตามเกณฑ์สิทธิตาม
มาตรา 65 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากรด้วย เช่น บริษัท ก.ให้บริษัท
ข.เช่าที่ดินมีกำหนดระยะเวลาเช่า 30 ปี
โดยผู้เช่าตกลงชำระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน 55,430,400 บาท ดังนี้ บริษัท
ก.ผู้มีเงินได้
จะต้องนำค่าเช่าล่วงหน้าดังกล่าวมาเฉลี่ยเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็น
รายปีจำนวน 30 ปี โดยสามารถนำภาษีเงินได้หัก ณ
ที่จ่ายที่ถูกหักไว้มาเป็นเครดิตภาษีในรอบระยะเวลาบัญชีที่ถูกหักไว้ได้ทั้ง
จำนวน เป็นต้น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
การประกอบกิจการให้เช่าทรัพย์สิน ถือเป็นกิจการให้บริการที่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในเรื่องการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนี้
หากเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา
81(1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
นั่นก็หมายความว่าเมื่อเป็นกิจการที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว
ผู้ประกอบการก็ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อไปใช้เป็นเครดิตภาษีด้วย
ประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ควรต้องพิจารณาคือการให้บริการใดเป็นกิจการให้
เช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าเอกเทศสัญญาที่เรียกว่า
“เช่าทรัพย์”จะต้องได้ความว่าผู้ให้เช่าได้ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่านั้นแก่
ผู้เช่าเพื่อใช้ประโยชน์ในช่วงเวลาที่ตกลงเช่ากัน ดังนั้น
หากเป็นกรณีที่มิได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่เช่ากันแล้ว
ก็ไม่อาจเป็นการเช่าทรัพย์
ซึ่งเมื่อไม่ใช่เป็นการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์แล้วจะอยู่ในบังคับต้อง
เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตัวอย่างในเรื่องนี้เช่น
บริษัทฯ
ก่อสร้างอาคารเพื่อให้เช่า
ซึ่งมีทั้งการเช่าเพื่อประกอบธุรกิจศูนย์การค้าและเช่าเป็นอาคารสำนักงาน
โดยการเช่าเป็นอาคารสำนักงานนั้น บริษัทฯ
ได้ทำสัญญาให้เช่าพื้นที่สำนักงานและสัญญาให้บริการสาธารณูปโภค
ซึ่งรวมถึงพื้นที่จอดรถด้วย ในส่วนของการให้บริการพื้นที่จอดรถ บริษัทฯ
เรียกเก็บค่าบริการแตกต่างกัน
คือเป็นผู้เช่าอาคารสำนักงานซึ่งทำสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงานและสัญญาบริการ
บริษัทฯ
เรียกเก็บค่าบริการจอดรถเป็นรายเดือนโดยมอบสติกเกอร์ให้แก่ผู้เช่าตามจำนวน
รถที่กำหนดไว้ในสัญญาบริการและกำหนดสถานที่จอดรถไว้ให้เป็นการเฉพาะ
แต่หากเป็นลูกค้าทั่วไปจะเรียกเก็บค่าบริการจอดรถจากรถทุกคันที่เข้ามาจอดใน
อาคารจอดรถตามอัตราที่กำหนด
กรณีดังกล่าว
การประกอบกิจการให้เช่าอาคารเพื่อประกอบธุรกิจศูนย์การค้าและเช่าเป็นอาคาร
สำนักงาน เข้าลักษณะเป็นการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
และการให้บริการพื้นที่จอดรถเข้าลักษณะเป็นการให้บริการตามมาตรา 77/1(10)
แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ
มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับค่าบริการพื้นที่จอดรถ บริษัทฯ
ไม่มีสิทธินำภาษีซื้อทั้งหมด ที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารไปหักออกจากภาษี
ขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
แต่จะต้องเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคารที่จะนำไปหักออกจากภาษี
ขาย
ประเด็นที่ควรต้องพิจารณาเพิ่มเติมก็คือ ภาษีซื้อจากการเช่าทรัพย์สินสามารถนำมาใช้เป็นเครดิตภาษีได้หรือไม่
ในเรื่องนี้จะต้องพิจารณาหลักกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มก่อนว่าผู้ประกอบการจด
ทะเบียนสามารถนำภาษีซื้อจากการประกอบกิจการมาใช้ได้
เว้นแต่จะเป็นภาษีซื้อที่ต้องห้ามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 82/5
แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น
ในกรณีภาษีซื้อจากการเช่าทรัพย์สินผู้เช่าที่เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนจึง
สามารถนำไปใช้เป็นเครดิตภาษีได้ เว้นแต่เป็นภาษีซื้อต้องห้าม เช่น
ภาษีซื้อจากการเช่ารถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน
ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
ผู้ประกอบการจะไม่สามารถนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3
แห่งประมวลรัษฎากรได้ เนื่องจากเป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5(6)
แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)ฯ ลงวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2535
แต่อย่าลืมว่าภาษีซื้อดังกล่าวไม่เป็นรายจ่ายต้องห้ามในการคำนวณกำไรสุทธิ
ตามมาตรา 65 ตรี (6ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร
หรือเป็นภาษีซื้อจากการประกอบกิจการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเป็นกิจการที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นต้น
อากรแสตมป์
เฉพาะแต่สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่ดิน โรงเรือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพเท่านั้น ที่อยู่ในบังคับต้องเสียอากรแสตมป์
ซึ่งผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์คือผู้ให้เช่า
โดยคำนวณอากรแสตมป์ที่ต้องเสียในอัตรา 1 บาทต่อค่าเช่าทุกจำนวนเงิน 1,000
บาท หรือเศษของเงิน 1,000 บาท
แห่งค่าเช่าหรือเงินกินเปล่าหรือทั้งสองอย่างรวมกันตลอดอายุการเช่า
ซึ่งหากสัญญาเช่าใดมิได้กำหนดอายุการเช่า ก็ให้ถือว่ามีกำหนด 3 ปี
และหากสัญญาเช่าฉบับใดครบกำหนดอายุการเช่าแล้วผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สิน
อยู่และให้ผู้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงและมิได้ทำสัญญาใหม่
ให้ถือว่าสัญญาเช่าเดิมนั้นได้เริ่มทำกันใหม่
โดยไม่มีกำหนดอายุการเช่าต้องเสียอากรภายในสามสิบวัน
นับแต่วันที่ถือว่าเริ่มทำสัญญาใหม่นั้น
อย่างไรก็ดี ประมวลรัษฎากรได้ยกเว้นไม่ต้องเสียอากรสำหรับการเช่าทรัพย์สินใช้ในการทำนา ไร่ สวน
สำหรับวิธีการเสียอากรแสตมป์นั้น หากเป็นการเช่า 2 กรณีดังต่อไปนี้
1.การเช่าที่ดิน โรงเรือน
สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพ ที่รัฐบาล องค์การของรัฐบาล เทศบาล
สุขาภิบาล หรือองค์การบริหารราชการส่วนท้องถิ่น เป็นผู้เช่า และ
2.การเช่าอสังหาริมทรัพย์
เฉพาะที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับจดทะเบียนสิทธิและ
นิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตามลักษณะแห่งตราสาร 1.
แห่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์
ผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์จะต้องชำระอากรเป็นตัวเงินแทนการปิดแสตมป์ตาม
มาตรา 103(3) แห่งประมวลรัษฎากร
ไม่มีสิทธิชำระอากรด้วยวิธีการปิดแสตมป์อากรลงบนตราสารหรือด้วยวิธีการใช้
แสตมป์ดุนแต่อย่างใด
สรุป
ภาระภาษีที่เกี่ยวข้องกับการให้เช่าทรัพย์สิน
ไม่ว่าจะเป็นการเช่าสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ต่างก็มีประเด็นที่
ต้องพิจารณาหลายประการ
ซึ่งการพิจารณาประเด็นภาษีอากรให้ถูกต้องได้ก็จะต้องพิจารณาจากเอกเทศสัญญา
การเช่าทรัพย์ตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบด้วย
ซึ่งเมื่อได้ทำความเข้าใจดีแล้วต่อไปก็คงตอบได้ว่า การเช่าพระเครื่อง
การเช่าชั่วโมงอินเทอร์เน็ตการเช่าพื้นที่เพื่อแสดงสินค้าในงานแสดงสินค้า
ต่างๆ จะเป็นการเช่าทรัพย์หรือไม่
ที่มา : สรรพากรสาสน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น