ประกันสังคมเพิ่มสิทธิประโยชน์คลอดลูก-ทำฟัน-โรคจิต-ทุพพลภาพ เผยสปส.ลงทุนครึ่งปีแรกฟันกว่า1.5หมื่นล้าน
นาย เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เตรียมเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนใน 6 เรื่อง ดังนี้ 1.เพิ่มค่าคลอดบุตรจากครั้งละ 12,000 บาท เป็น 13,000 บาท 2.เงินสงเคราะห์บุตรจากรายละ 350 บาท เป็น 400 บาท 3.ค่าทันตกรรมจากครั้งละไม่เกิน 250 บาท ปีละไม่เกิน 2 ครั้ง หรือ 500 บาท เป็นครั้งละ 300 บาท หรือปีละไม่เกิน 600 บาท 4.สิทธิในการให้บริการใส่รากฟันเทียม 5.เพิ่มสิทธิในกรณีรักษาโรคจิต 6.เพิ่มค่ารักษากรณีทุพพลภาพจากเดือนละไม่เกิน 2,000 บาท เป็น 4,000 บาท
นาย เฉลิมชัยกล่าวว่า ได้สั่งการให้ สปส.พยายามทำให้ผู้ประกันตนได้เข้าถึงบริการให้มากที่สุด โดยดำเนินการจัดตั้ง �เคาเตอร์เซอร์วิส� ในสถานประกอบการ ซึ่งได้ขอความร่วมมือไปยังสถานประกอบการให้ส่งบุคลากรมาร่วมอบรม เพื่อให้บริการในเบื้องต้นเกี่ยวกับงานประกันสังคม เช่น การรับประโยชน์ทดแทน โดย สปส.จะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์ให้บริการครบวงจร โดยเริ่มต้นจากกสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้าง 1,000 คนขึ้นไปก่อน ซึ่งจะดำเนินการให้เสร็จภายใน 3 เดือน หลังจากนั้นจะขยายไปยังสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 500 คน ภายใน 6 เดือน และสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 200 คนขึ้นไปให้เสร็จสิ้นในปีงบประมาณหน้า ซึ่งทั้งหมดจะครอบคลุมผู้ประกันตนกว่า 4 ล้านคน
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการ สปส. เปิดเผยว่า การลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2553 กองทุนประกันสังคมมีผลตอบแทนจากการลงทุนจำนวน 15,223 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝาก พันธบัตรและหุ้นกู้ จำนวน 12,380 ล้านบาท เงินปันผล และกำไรจากการขายหลักทรัพย์จำนวน 2,843 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรากฏว่ากองทุนมีผลตอบแทนจากการลงทุน 12,960 ล้านบาท มีผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 2,263 ล้านบาท ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมมีเงินลงทุนที่ผ่านมารวม 707,730 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินกองทุนกรณีสงเคราะห์บุตรและชราภาพ จำนวน 567,010 ล้านบาท
"ปี 2553 คาดว่า จะมีเงินลงทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 140,000 ล้านบาท โดยคณะกรรมการประกันสังคมได้เห็นชอบให้คงสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล และรัฐวิสาหกิจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ส่วนการลงทุนในหุ้นให้คงสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับกรอบการลงทุนเพื่อรองรับการขยายการลงทุนในต่างประเทศ การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทางเลือกอื่น เพื่อเพิ่มช่องทางการลงทุนให้กับกองทุนประกันสังคมในระยะยาว" นายปั้นกล่าว และว่า สิทธิประโยชน์ใหม่นี้จะมีผลวันที่ 1 มกราคม ปี 2554 ใช้วงเงินเพิ่มประมาณ 1,000 ล้านบาท
ขณะที่นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ได้เชิญตัวแทนโรงพยาบาลเอกชน 160 แห่งมารับฟังนโยบายของกรมบัญชีกลางที่จะเพิ่มสวัสดิการให้กับข้าราชการ กรณีที่เป็นผู้ป่วยในให้สามารถเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชนได้ แต่ต้องเป็นลักษณะการเหมาจ่ายเป็นรายโรค (ดีอาร์จี) และกำหนดให้เบิกค่าเตียงได้ไม่เกิน 600 บาทต่อคืน ส่วนเกินให้ข้าราชการรับผิดชอบเอง เพื่อไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณและกระทบต่อการจัดทำงบสมดุลภายใน 5 ปี ซึ่งหากสามารถตกลงและลงนามกับโรงพยาบาลเอกชนที่เห็นชอบในหลักการได้จะสามารถ เริ่มดำเนินการได้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
นายพงษ์ภาณุกล่าวว่า ตามระเบียบสวัสดิการข้าราชการเดิม จะกำหนดให้เข้ารับการรักษาพยาบาลได้ในโรงพยาบาลรัฐบาลเท่านั้น ยกเว้นกรณีอุบัติเหตุที่สามารถรักษาโรงพยาบาลเอกชนได้ ทำให้แออัดและลำบากในกรณีที่เกิดโรคร้ายแรง กรมบัญชีกลางจึงต้องการยกระดับสวัสดิการของข้าราชการให้ดีขึ้น แต่ต้องหารือกับโรงพยาบาลเอกชนก่อนว่า จะกำหนดโรคใดบ้างที่จะสามารถเข้ารับการรักษาได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการว่า ต้องเป็นโรคที่จำเป็นที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ และโรงพยาบาลที่จะเข้าระบบได้ต้องใหญ่พอสมควรและมีมาตรฐานในระดับภูมิภาคและ ต่างจังหวัด
"จากการควบคุมการทุจริตยา สำหรับผู้ป่ายนอก ทำให้ขณะนี้ค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนสูงดีขึ้น โดยใน 10 เดือนแรกของปีงบประมาณมีการเบิกจ่ายไปแล้ว 55,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถควบคุมอยู่ในกรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ได้ที่ 61,000 ล้านบาท ขณะที่มีข้าราชการที่ใช้สิทธิผู้ป่วยในปัจจุบันที่ 700,000 รายต่อปี จากจำนวนข้าราชการที่ได้รับสิทธิสวัสดิการทั้งหมด 4.5 ล้านคน จึงคาดว่าไม่น่าจะกระทบต่องบประมาณที่ตั้งไว้มากมากนัก"
ด้าน น.ส.วิไลวรรณ แซ่เตีย ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) กล่าวถึงกรณีที่ สปส.เตรียมเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ประกันตนใน 6 เรื่อง ว่า ถือเป็นเรื่องดีที่ทางกระทรวงแรงงานและ สปส.ให้ความสำคัญในการดูแลผู้ประกันตนด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ แต่หัวใจหลักที่ทางขบวนการแรงงานต้องการ คือ การปฏิรูป สปส.ให้เป็นองค์กรอิสระ มีการบริหารงานอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และต้องให้แรงงานทุกภาคส่วนเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุน นอกจากนี้ ควรขยายความคุ้มครองให้กับแรงงานนอกระบบด้วย
"ผ่าน มาแล้ว 20 ปี แต่ สปส.ก็ยังคงมีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการต้องทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนงาน เนื่องจากเป็นความหวังของผู้ประกันตน" น.ส.วิไลวรรณกล่าว และว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ที่ทาง สปส.เพิ่มให้นั้น เห็นว่าในบางกรณีควรเพิ่มให้มากกว่านี้ เช่น เงินสงเคราะห์บุตร ควรเพิ่มเป็นรายละ 500 บาท และควรขยายความคุ้มครองจาก 6 ปี ให้เป็นลักษณะเดียวกับที่ให้ข้าราชการ ส่วนกรณีที่เพิ่มสิทธิในการรักษาผู้ป่วยโรคจิต ซึ่งเป็นโรคที่ยกเว้นการรักษาพยาบาลนั้น ตนเห็นว่า สปส.ควรยกเลิกการรักษาพยาบาลโรคต่างๆ ที่ได้รับการยกเว้น เนื่องจากสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกันตนไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการรักษา พยาบาล อย่างไรก็ตาม สปส.ควรปรับการบริการรักษาพยาบาลให้มีคุณภาพด้วย
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23:10:51 น. มติชนออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น